TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistปลุก “ความเชื่อมั่น” ก่อนสายเกินแก้

ปลุก “ความเชื่อมั่น” ก่อนสายเกินแก้

ผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงเศรษฐกิจและนักเศรษฐศาสตร์หลายเคยบอกว่า คาถาการฟื้นเศรษฐกิจให้ได้ผลที่สุด ก็คือ “ต้องสร้างความเชื่อมั่น” ให้กับประชาชน นักลงทุน ภาคธุรกิจ เป็นภารกิจตั้งแต่ระดับรัฐบาล นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศ กระทั่งถึงองค์กรที่ดูแลหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เพราะหากเกิดความเชื่อมั่นแล้ว นักลงทุนไม่ว่านักลงทุนจากต่างประเทศและนักลงทุนในประเทศก็จะกล้าลงทุน ขณะที่ชาวบ้านก็กล้าจับจ่ายใช้สอย กล้าเที่ยว กล้ากิน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเพราะเกิดความมั่นใจในอนาคต

นับตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ ดูเหมือนว่ายังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ตามที่หลายคนคาดหวัง ตรงกันข้ามกลับกันยิ่งทำให้ขาดความเชื่อมั่นมากขึ้น จะเห็นว่าตั้งแต่รัฐบาลเพื่อไทยบริหารประเทศรัฐบาลยังไม่มีเอกภาพเท่าที่ควร ยังเชื่อมต่อกันไม่ติดระหว่าง ”เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ระหว่าง ”พรรคเพื่อไทย” ที่เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาล จะเห็นจากหลายกรณีที่พรรคร่วมเงียบกริบโยนให้เป็นหน้าที่พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำต้องรับผิดชอบ

ส่วน ”เศรษฐา” หลาย ๆ ครั้งก็มาเล่นบท “ไม่ถูกที่ถูกเวลา” ตั้งแต่การเขียน Facebook กล่าวประนามกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ใช้ความรุนแรงโจมตีอิสราเอลจนทำให้คนไทยต้องบาดเจ็บ ล้มตายและถูถจับเป็นตัวประกัน เรื่องนี้คนในวงในความมั่นคง บอกว่าพอเห็นมีเรื่องนี้ขึ้นมาหลายฝ่ายต่างเกรงว่าจะมีปัญหาตามมา แม้จะไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง แต่ในฐานะผู้นำประเทศก็ไม่ควรแสดงท่าทีโดยเปิดเผย

ไม่แน่ใจว่าจากท่าทีดังกล่าวหรือไม่ จึงทำให้กลุ่มประเทศอาหรับไม่ยอมให้เครื่องบินของไทยที่ไปรับแรงงานกลับบ้านบินผ่านน่านฟ้า แต่สิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงวิตกยิ่งกว่า นั่นคือ อาจจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน เพราะจะถูกมองว่าเราเลือกข้างก็เป็นไปได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน นายกฯ มือใหม่หัดขับควรต้องปรึกษาหารือข้าราชการระดับสูงในกระทรวงการต่างประเทศก่อน

เพียงแค่เดือนกว่า ๆ นายกฯมือใหม่หัดขับ มีกรณีที่ล่อแหลมหลายครั้งอาจถูกตีความไปในทางลบได้ อย่างกรณีที่เศรษฐาได้ไปประกาศในงานสัมมนาแห่งหนึ่งทำนองยกย่องญี่ปุ่นว่าเป็นผู้มีพระคุณกับประเทศไทยมานาน รัฐบาลจะทอดทิ้งไม่ได้ ยังจำเป็นต้องสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ประเภทรถสันดาปซึ่งเป็นอุตสาหกรรมรถยนต์ของญี่ปุ่น ในเชิงธุรกิจนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนนับหมื่นรายที่เป็นของคนไทยอยู่ในซัพพลายเชนอุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่น หากเลิกไปอุตสาหกรรมชิ้นส่วนของไทยพลอยได้รับผลกระทบไปได้

แต่เรื่องแบบนี้ควรจะพูดคุยกับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นเป็นการภายใน เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าตอนนี้ในธุรกิจรถยนต์บ้านเรานั้นเป็นการสู้กัน 2 ค่ายระหว่างค่ารถยนต์ EV หรือรถพลังงานไฟฟ้าของจีน กับค่ายรถยนต์สันดาปของญี่ปุ่นที่ปักธงมานาน ตอนนี้บริษัทรถยนต์จากจีนพากันทยอยเข้ามาลงทุนในบ้านเรามากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อชิงฐานการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยที่ญี่ปุ่นครองอยู่ เมื่อนายกฯ พูดต่อสาธารณะอย่างนี้ไม่รู้ว่าค่ายรถยนต์จากจีนฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไรบ้างหรือไม่

เช่นเดียวกันกับกรณีที่เพิ่งไปเข้าพบประธานาธิบดี” สีจิ้น ผิง”ของจีน นายกฯ ของเราได้พูดเอาอกเอาใจจีนเปรียบเปรยทำนองไทยก็เหมือนน้องเล็กของจีนยกย่องจีนเป็นพี่ ซึ่งการสื่อสารในเวทีการเมืองระหว่างประเทศต้องระมัดระวังอย่างมาก ไม่รู้ว่าสหรัฐอเมริกาที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทยจะรู้สึกยังไง เมื่อจีนกับสหรัฐเป็นไม้เบื่อไม้เมากันชิงความเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกและทำสงครามการค้ากันอยู่

มิหนำซ้ำ ในการพบนักธุรกิจจีนเพื่อขายไอเดีย “โปรเจกต์แลนด์บริดจ์” ชักชวนนักธุรกิจจีนเข้ามาลงทุน แต่อรรถาธิบายด้วยการใช้ปากกาเขียนลงบนกระดาษแบบลวก ๆ ทั้งที่โครงการขนาดใหญ่เกือบ 3 แสนล้านบาท ควรจะมีเอกสารข้อมูลภาษาอังกฤษ ภาษาจีน มีอินโฟกราฟิกนำเสนอแบบมืออาชีพ แต่การทำอย่างนั้นสะท้อนว่าไม่มีความพร้อม ไม่เตรียมตัว อันที่จริงสั่งการให้เจ้าหน้าที่เมืองไทยส่งข้อมูลผ่านออนไลน์ไปให้ก็ได้ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้อาจส่งผลถึงภาพลักษณ์ของผู้นำประเทศได้

ต้องยอมรับว่าตลอดเวลาที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีนั้น “เศรษฐา” มีความมุ่งมั่นตั้งใจและทำงานด้วยความกระตือรือร้น แต่กลับไม่ได้เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาเท่าที่ควร จะเห็นจากหลังจากตั้งรัฐบาลเสร็จ ดัชนีหุ้นไทยยังคงไหลรูดลงมาอย่างต่อเนื่อง นักลทุนต่างชาติทะยอยขายหลายแสนล้านบาทแล้ว

ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงมาเหลือ 1,399.35 จุด ลดลง 23.69 จุด เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่ดัชนีหุ้นไทยหลุดจาก 1,400 จุด เงินลงทุนนักลงทุนต่างชาติยังไหลออกไม่หยุด นักลงทุนไทยก็ล้างพอร์ต พักการลงทุนไว้ก่อน

นอกจากกรณีวิตกกังวลจากปัญหาสงครามระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตล์จะบานปลาย จะส่งผลให้ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นกระทบถึงการบริโภคและการลงทุนในอนาคต อีกทั้งกังวลและไม่มั่นใจนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ที่ตอนนี้กำลังถูกต่อต้านอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าหากเงิน 5.6 แสนล้านบาท เป็นก้อนใหญ่ที่สุดที่จะมาการแจกให้ประชาชนในครั้งเดียวนั้นเกรงว่าจะเป็นการไปเพิ่มหนี้สาธารณะ อีกทั้งจนถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังอ้ำอึ้งตอบสังคมไม่ได้ว่าแหล่งเงินที่จะนำมาแจกให้กับประชาชนมาจากไหน อัดเงินก้อนใหญ่เข้าไปแล้ว จีดีพีจะโตขึ้นเท่าไหร่ และจะเริ่มได้เมื่อไหร่

จากปัญหาทั้งหลายทั้งปวงมาจากสาเหตุการขาดความเชื่อมั่น สิ่งที่ ”เศรษฐา” และรัฐบาลต้องเร่งทำคือต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาโดยเร็วที่สุดก่อนที่จะสายเกินแก้

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจของผู้เขียน

1 ทศวรรษ วงจรอุบาทว์ ทำลายข้าวไทย

“มิตเทลสแตนด์”กระดูกสันหลังเยอรมัน

แฟชั่น, อาหาร, ท่องเที่ยว 3 เสาหลักเศรษฐกิจอิตาลี

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ