TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistเศรษฐกิจไทยปี 67 ความเสี่ยงรุมเร้า

เศรษฐกิจไทยปี 67 ความเสี่ยงรุมเร้า

นับถอยหลังไม่กี่วันก็จะสิ้นปี 2566 ถือเป็นปีที่ยากลำบากอีกปีหนึ่งสำหรับเศรษฐกิจไทย แม้ในครึ่งปีที่ผ่านมาจะมีการเลือกตั้ง หลายคนคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่กลับไม่เป็นไปตามคาด อย่างไรก็ตามปี 2567 ก็ยังไม่มีสัญญาณว่าทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะเพริศแพร้วศิวิไลย์ หลาย ๆ สำนักวิเคราะห์ทั้งไทยและเทศ ต่างออกมาฟันธงว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงมากมาย การเติบโตเป็นไปอย่างเชื่องช้า 

เศรษฐกิจไทยปี 2567 ยังมีปัจจัยเสี่ยงทั้งภายนอกและภายใน สำหรับปัจจัยภายนอก ความเสี่ยงแรกคือ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ยังโตต่ำอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดย IMF คาดเศรษฐกิจโลกโต 2.9% และ OECD คาดเศรษฐกิจโลกโต 2.7% เท่านั้น โดยประเทศพัฒนาแล้วเศรษฐกิจโต 1.4% และตลาดใหม่และประเทศกําลังพัฒนาโต 4%

อีกความเสี่ยง คือ ความกังวลจากผลกระทบของภูมิศาสตร์การเมือง จากสงครามยูเครนกับรัสเซีย อันเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านพลังงานโลก แต่ที่น่ากังวลกว่าคือ สงครามอิสราเอล-ฮามาส หากที่นับวันจะรุนแรงขึ้นตามลำดับ เศรษฐกิจโลกอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากราคาน้ำมันโลกที่สูงขึ้น และสภาวะตลาดการเงินโลกที่ผันผวนมากขึ้น

ที่สำคัญ จะส่งผลกระทบต่อเส้นทางเดินเรือไปยุโรปกับภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระ วิเคราะห์ว่า ”หากโจรสลัดฮูตีโจมตีเรือพาณิชย์ขนส่งผ่านทะเลแดง และกระทบเส้นทางโลจิสติกส์ เกิดทะเลแดงดิสรัปชันต่อสินค้าไทย 9 หมื่นล้านบาท กินส่วนแบ่งการขนส่ง 12% ของการค้าโลก มูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ กระทบการขนส่งเรือสินค้า 1.8 หมื่นลำต่อปี ราคาน้ำมันปรับขึ้น 3-4 ดอลลาร์ ส่งผลให้ห่วงโซ่การผลิตสะดุด เพราะต้องเพิ่มเวลาขนส่ง 1-2 สัปดาห์ ค่าระวางเพิ่ม 10-15%”

ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ธนาคารโลกประจำประเทศไทย คาดอัตราโตเศรษฐกิจของไทยปี 2567 จะอยู่ที่ 3.2% และในปี 68 ก็จะอยู่ที่ 3.1% ใกล้เคียงกับบรรดากูรูเศรษฐกิจที่คาดว่าโตที่ 3.3% ซึ่งเป็นการเติบโตต่ำสุดในอาเซียน

มีบทวิเคราะห์น่าสนใจ ซึ่งเป็นผลการสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์รายไตรมาส ที่รวบรวมโดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจแห่งญี่ปุ่นและนิเคอิ ทำการสำรวจล่าสุดระหว่างวันที่ 17 พฤศจิกายน ถึง 7 ธันวาคม โดยรวบรวมคำตอบ 31 รายการจากนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ใน 5 ประเทศเศรษฐกิจหลักในอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และในอินเดีย ระบุว่า สมาชิกส่วนใหญ่ของเอเชียนได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ภายนอกที่อ่อนแอในปีนี้ อันสืบเนื่องจากการชะลอตัวทั่วโลกส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และการหดตัวของเศรษฐกิจจีนหลังโควิด-19

รายงานชิ้นนี้คาดการณ์เศรษฐกิจไทยว่า น่าจะโตในอัตรา 3.3% ในปีหน้าซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.4% ของปีนี้ นักเศรษฐศาสตร์มีความกังวลต่อไทยที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของ GDP ไทย มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนมาไทยในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 1 ใน 3 ของระดับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด อีกทั้งการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง 

นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยเอง มีสัญญาณเตือนภัยว่า มีความเสี่ยงจากปัจจัยภายในที่ทับถมกันมานาน สะท้อนจากตลาดหุ้นไทย  ย่ำแย่สุดในรอบ 3 ปี  หุ้นไทยปี 2566 เป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนย่ำแย่เกือบจะที่สุดในโลก ดัชนี SET ติดลบไปราว 16-17% จากที่เคยอยู่สูงเกือบ 1,700 จุด ลงไปทำจุดต่ำสุดของปีที่ 1,354.73 จุด เมื่อดัชนีตลาดหุ้นร่วงแรงชนชั้นกลางและกลุ่มทุนใหญ่เดือดร้อนเพราะเงินในกระเป๋าหาย 

หากติดตามข่าว จะเห็นข่าวธุรกิจไทยพากันทยอยปิดกิจการเป็นรายวัน ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา เพราะเศรษฐกิจในประเทศไม่เติบโต เศรษฐกิจโลกมีปัญหา สินค้าที่ผลิตได้ไม่มีตลาดรองรับ ส่งผลให้คนตกงานไม่มีรายได้ ย่อมส่งผลต่อกำลังซื้อในประเทศตามมาด้วย

แต่ปัญหาใหญ่ที่กำลังจะเป็นระเบิดเวลา คือ เรื่องหนี้ ทุกวันนี้คนไทยมีหนี้มหาศาล โดยมีหนี้ครัวเรือนรวม 19 ล้านล้านบาท ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยเฉพาะ ยอดหนี้บัตรเครดิตพุ่ง แสดงให้เห็นว่าคนมีเงินเดือนประจำหรือระดับล่างเริ่มมีปัญหาหมุนเงินไม่ทัน ความเสี่ยงจากการที่หนี้คนไทยมีจำนวนมหาศาล ทําให้กำลังซื้อลดลงและเศรษฐกิจหดตัว

ขณะเดียวกันสินค้าแบรนด์เนมที่เคยขายดียอดเริ่มตก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงหรือกลุ่มคนรวยเริ่มระมัดระวังการใช้จ่าย ก่อนหน้านี้ช่วงเศรษฐกิจไม่ดี สินค้าที่ขายกลุ่มระดับบน คนมีเงินจะไม่กระทบแต่ตอนนี้โดนหางเลขเหมือนกันหมด 

ล่าสุด เครดิตบูโรส่งสัญญาณอสังหาฯ กำลังอยู่ในโซนอันตราย มีบ้านผ่อนไม่ไหว ค้างค่างงวดพุ่ง 37% จับตาลูกหนี้กว่า 1 แสนบัญชีมูลหนี้กว่า 1.36 แสนล้าน เสี่ยงเป็นหนี้สีย ในฟากแบงก์ก็คุมเข้มปล่อยสินเชื่อกลุ่มบ้าน คอนโดฯต่ำกว่า 3 ล้าน เพื่อสกัดหนี้เสียไม่ให้บานปลาย ช่วงโควิดที่ผ่านมาบ้านที่ขายดีที่สุดคือบ้านราคา 30-40 ล้านบาท แต่ตอนนี้เริ่มฝืดอาจจะเป็นสัญญาณชี้ให้เห็นความซบเซาของเศรษฐกิจของจริง 

อีกทั้งสัญญาณจากหนี้สียรถยนต์พุ่ง 20% มีการประเมินว่าในปี 2567 จะมีรถที่ถูกยึดราว 2 แสนคัน อาจจะลดลงจากปี 2565 ที่มีรถถูกยึด 2.5 แสนคันเล็กน้อย ทั้งหมดถือว่าเป็นปรากฏการณ์ด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งสิ้น

ฟันธงว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้ายังอยู่ในสภาวะที่โตอย่างช้า ๆ มีความเสี่ยงรุมเร้า นับว่าท้าทายกึ๋นรัฐบาลเศรษฐาว่าจะยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทยให้กลับมาและยั่งยืนได้อย่างไร

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

“ดิจิทัล วอลเลต” ไปต่อไหวไหม

ปลุก “ความเชื่อมั่น” ก่อนสายเกินแก้

“วิกฤติ” หรือ “ไม่วิกฤติ”

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ