บ่อยครั้งที่คริปโทเคอร์เรนซีถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ปัจจุบัน กระแสนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงท่ามความมุ่งมั่นของเหล่านักพัฒนาที่จะสร้างเหรียญและบล็อกเชนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ในบทความนี้เรามาดู 5 เหรียญคริปโทที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุด จะมีเหรียญอะไรบ้าง ไปดูกัน
Ethereum (ETH)
แม้ก่อนหน้านี้ Ethereum จะมีปัญหาด้านการใช้พลังงานที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของวงการคริปโท แต่หลังจากการอัปเกรด The Merge เมื่อปี 2022 ที่ทำให้ Ethereum เปลี่ยนจากระบบ Proof-of-Work มาเป็น Proof-of-Stake ซึ่งรายงานจาก CNN ระบุว่าการอัปเกรดดังกล่าวสามารถลดการใช้พลังงานของ Ethereum ลงได้มากถึง 99%
Ethereum เป็นเหรียญคริปโทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดอันดับ 2 เป็นรองเพียงแค่ Bitcoin นั่นเพราะเครือข่าย Ethereum รองรับสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชั่นแบบกระจายอำนาจ (dApp) ขึ้นบนบล็อกเชนได้ ทำให้กรณีการใช้งานของ Ethereum มีกว้างมาก ตั้งแต่การสร้างบริการทางการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) ไปจนถึงการสร้างเกมบล็อกเชน (GameFi) Ethereum จึงยังเป็นเหรียญคริปโทที่มีศักยภาพและได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วโลก
Stellar (XLM)
อีกหนึ่งเหรียญคริปโทที่ประหยัดพลังงานและน่าจับตาอีกตัวหนึ่งก็คือ Stellar ซึ่งเหรียญนี้มีชื่อเสียงในด้านความเร็วในการชำระเงิน ผู้ใช้สามารถส่งเงินได้จากทุกที่ โดยธุรกรรมใช้เวลาดำเนินการเพียง 5 วินาที แถมยังมีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น จึงทำให้ Stellar ได้เป็นพันธมิตรกับสถาบันชั้นนำอย่าง IBM และ MoneyGram
Stellar ยังถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ประหยัดพลังงาน เนื่องจากเครือข่ายใช้กลไกฉันทามติ ‘Proof-of-Agreement’ (PoA) โดยจากข้อมูลของ Stellar Foundation เครือข่ายนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าเพียง 0.173 Wh ต่อธุรกรรม นอกจากนี้ โหนดที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของการทำธุรกรรมจะใช้ไฟฟ้าประมาณ 261,435 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมงต่อปีเท่านั้น
Avalanche (AVAX)
Avalanche เป็นเครือข่ายบล็อกเชนที่ถูกพัฒนาขึ้นในปี 2021 โดยแทนที่จะใช้เชนเดียวเหมือนเครือข่ายอื่น ๆ Avalanche เลือกใช้วิธี ‘หลายเชน’ ซึ่งทำให้มีความสามารถในการปรับขนาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Avalanche สามารถจัดการธุรกรรมได้ 4,500 ธุรกรรมต่อวินาที (TPS) จึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับนักพัฒนา dApp และผู้สร้าง NFT ที่กำลังมองหาเครือข่ายที่มีความสามารถในการปรับขนาดที่สูง
อ้างอิงจากรายงานโดย Crypto Carbon Ratings Institute (CCRI) พบว่าเครือข่าย Avalanche ใช้พลังงานเพียง 0.0005% เมื่อเทียบกับพลังงานที่เครือข่าย Bitcoin ใช้ หรือสามารถอธิบายได้ว่า Avalanche ใช้พลังงานต่อปีเท่ากับครัวเรือนในสหรัฐอเมริกาเพียง 46 ครัวเรือนเท่านั้น
Solana (SOL)
Solana นับเป็นอีกหนึ่ง Altcoins ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน และยังรองรับสัญญาอัจฉริยะ ทำให้เครือข่ายที่ดีสำหรับนักพัฒนา dApp แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นของ Solana จริง ๆ อยู่ที่การใช้กลไกฉันทามติแบบผสมผสานระหว่าง Proof-of-Stake และ Proof-of-History ทำให้เครือข่าย Solana สามารถจัดการธุรกรรมได้ถึง 65,000 ธุรกรรมต่อวินาที (TPS) นับเป็นเครือข่ายที่มีความเร็วสูงระดับแนวหน้าของวงการ
ที่น่าสนใจคือการใช้กลไกฉันทามติแบบผสมผสานของ Solana ยังทำให้เครือข่ายสามารถประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทภาพ โดยอ้างอิงจากเว็บไซต์ของ Solana ธุรกรรมหนึ่งรายการใช้พลังงานเพียง 2,707 จูล ซึ่งน้อยกว่าพลังงานที่ใช้ในการค้นหา Google สามครั้ง นอกจากนี้ การสร้าง NFT บนเครือข่าย Solana ยังใช้พลังงานน้อยกว่าการเปิดหลอดไฟ LED เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงประมาณสามเท่า
Cardano (ADA)
Cardano อีกหนึ่งเครือข่ายบล็อกเชนที่ได้รับความนิยมจากเหล่านักพัฒนาและผู้ใช้ โดยเป็นเครือข่ายที่ใช้ระบบ Proof-of-Stake ที่พวกเขาเรียกว่า Ouroboros และยังใช้ระบบ Peer-reviewed เครือข่ายแรก โดย Cardano อ้างว่าการใช้ระบบนี้สามารถทำให้เครือข่ายปรับขนาดตามความต้องการทั่วโลกโดยไม่สูญเสียความยั่งยืนหรือความปลอดภัย
ไม่เพียงเท่านี้ ทีมผู้พัฒนา Cardano ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากจนถึงขั้นมีการแต่งตั้ง ‘Group Head of Sustainability’ หรือหัวหน้าฝ่ายความยั่งยืน โดยรายงานจาก TRG Datacenters ระบุว่าการใช้พลังงานของ Cardano อยู่ที่ 0.5479 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง
อ้างอิง Cryptonews, The Times, Bitkub Blog
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
LIGHTNING NETWORK คืออะไร รู้จักผู้เสริมความเร็วระดับอัสนีให้ BITCOIN
