TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnistคลาย "ล็อกทิพย์" ... ธุรกิจวังเวง

คลาย “ล็อกทิพย์” … ธุรกิจวังเวง

ไม่รู้ว่าจะร้องเฮหรือจะร้องโฮดีสำหรับบรรดาเจ้าของธุรกิจทั้งหลายเมื่อ “ศบค.” คลายล็อกพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัดให้หายใจหายคอสะดวกขึ้น โดยประกาศดังกล่าวผ่อนปรนให้ลูกค้าสามารถนั่งรับประทานอาหารในร้านได้ 50 – 75% ของจำนวนที่นั่ง รวมถึงการอนุญาตให้ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจร้านเสริมสวย ร้านตัดผม และร้านนวดกลับมาเปิดให้บริการได้

ฟังดูเผิน ๆ ก็อาจจะดูดีแต่พอดูเนื้อในคำสั่งดังกล่าวแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย มาตรการยังเข้มงวดมาก ๆ ไม่ต่างจาก “คลายล็อกทิพย์” ปฏิบัติตามแทบไม่คุ้ม เช่น ร้านอาหารที่จะเปิดบริการได้ต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการหรือพนักงาน อีกทั้งต้องตรวจ ATK ทุก 3-7 วัน เป็นต้น

ลำพังค่าชุดตรวจ ATK ราคาในตลาด ตอนนี้ตกราว ๆ 200—300 บาทต่อชุด ค่าใช้จ่ายตรงนี้ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ส่วนที่รัฐจะสั่งซื้อ 8.5 ล้านชุด แจกฟรีประชาชนนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไร จะเพียงพอหรือไม่ จะแจกจ่ายอย่างไร และจะมีแจกได้นานแค่ไหน

ยิ่งข้อกำหนดต้องให้เจ้าของร้านและพนักงานต้องฉีดวัคซีน ในทางปฏิบัติแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกวันนี้บางร้านฉีดแค่เข็มหนึ่ง บางร้านยังไม่ได้ฉีดสักเข็ม ไม่ใช่ลูกจ้างไม่อยากฉีด แต่รัฐไม่มีวัคซีนฉีด ให้พรรคพวกเล่าให้ฟังว่า ลูกจ้างในร้านเขาไปขอทางเจ้าหน้าที่เขตในกทม.ฉีดวัคซีนที่เจ้าบ้านไม่ยอมมาฉีด แต่ถูกปฏิเสธเพราะไม่มีหลักฐานว่าเป็นคนพื้นที่ ซึ่งก็รู้ว่าแรงงานส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัดจึงไม่มีหลักฐาน

นอกจากนี้ ในจังหวัดเล็ก ๆ วัคซีนได้รับการจัดสรรน้อยมาก ไม่เพียงพอให้กับประชาชน เงื่อนไขบังคับให้ต้องมีการฉีดวัคซีน จึงทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะความพร้อมร้านอาหารและร้านค้าไม่เท่ากัน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่สุดของธุรกิจขนาดเล็ก ร้านค้า และร้านอาหารเวลานี้ คือ “ขาดแคลนแรงงาน” คุยกับเจ้าของกิจการหลายคน ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นผลพวงจากการประกาศแบบชักเข้าชักออก เมื่อคราวที่แล้วที่กรุงเทพฯ ประกาศคลายล็อกบ่ายวันศุกร์ แล้วศบค.กลับลำ ยกเลิกประกาศตอนค่ำ พนักงานเหล่านี้ไม่มั่นใจอนาคต อยู่ไปก็ลำบาก พากันทยอยกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน

อีกทั้งญาติพี่น้องในต่างจังหวัดเอง ก็ไม่อยากให้ลูกหลานทำงานในกรุงเทพฯ เพราะเป็นพื้นที่เสี่ยง แรงงานเหล่านี้พากันลาออก กลับไปอยู่กับพ่อแม่ในต่างจังหวัดจำนวนมาก เมื่อกลับมาคลายล็อกเที่ยวนี้ ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยประสบปัญหาไม่มีแรงงาน ในที่สุดก็คงไม่พร้อมจะเปิด

ที่สำคัญ การกำหนดให้ลูกค้าที่มาใช้บริการต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ยิ่งเป็นไปไม่ได้ และเป็นการ “จำกัดลูกค้า” ในต่างประเทศ เขาทำได้เพราะส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนครบโดสเกิน 60% ของคนทั้งประเทศ แต่ของเราทุกวันนี้ รัฐบาลเพิ่งฉีดไปได้ไม่ถึง 10% และจะตรวจสอบอย่างไร เพราะร้านอาหารในพื้นที่เสี่ยงสีแดงเข้ม มีเป็นหมื่นเป็นแสนร้าน จะทำให้มีปัญหาบางร้านปฏิบัติบางร้านไม่ปฏิบัติตาม 

อย่างที่รู้ ทุกวันนี้คนไทยแทบไม่มีเงินเหลือในกระเป๋า การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาเกือบ 2 ปี ทำให้ “หนี้ครัวเรือน”​ ของไทยพุ่งกระฉูด แบงก์ชาติเพิ่งเผยตัวเลขหนี้ในไตรมาสแรกปี 2564 พุ่งขึ้นทำนิวไฮ ที่ 90.5% ต่อจีพีดี ด้วยมูลค่า 14.1 ล้านล้านบาท เรียกว่า “หนี้ท่วมหัว” นี่ยังไม่รวมถึงหนี้นอกระบบที่ไม่รู้เท่าไร

นั่นแปลว่าธุรกิจ “ขาดกำลังซื้อ” อย่างหนัก เพราะชาวบ้านตกงาน ไม่มีงานทำ มาเป็นปี เงินออมก็หดหาย ไม่มีเงินมาจับจ่ายใช้สอย ส่วนที่พอมีบ้างก็จะเก็บไว้ใช้จ่ายที่จำเป็นในอนาคต

ขณะที่ในภาคธุรกิจขนาดกลางขนาดใหญ่และธุรกิจส่งออกทั้งหลายต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้ “ต้นทุนสูงขึ้น” จากมาตรการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการ Factory Sandbox สำหรับโรงงานผลิตเพื่อการส่งออกที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ของโรงงาน ไม่ต่ำกว่าร้อยละห้า

ในกรณีที่มีการทำ Bubble and Seal ต้องมีการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR 1 ครั้ง ให้กับลูกจ้างทั้งหมด และตรวจแบบ Seaf-ATK ทุก 7 วัน และมีการฉีดวัคซีนให้ลูกจ้างที่ตรวจ Swab Test ทุกคนทำให้ภาคธุรกิจต้องแบกรับภาระ “ต้นทุน” ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 20% เป็นภาระหนักมาก

เมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้น บวกกับสถานการณ์ไม่ปกติ เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาลง ธุรกิจก็อยู่ลำบาก จะหยุดสายการผลิตก็ไม่ได้ แต่หากเดินหน้าก็ต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอีกมหาศาล น่าสนใจว่าธุรกิจจะไปต่อยังไง

ดังนั้นคลายล็อกเที่ยวนี้เศรษฐกิจจะไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วเหมือนในปีก่อน ตราบใดการฉีดวัคซีนก็ยังล่าช้ากว่าเป้าตั้งไว้ ยิ่งยอดผู้เสียชีวิตยังสูงกว่า 200 คนต่อวัน ซึ่งเป็นระดับที่คนจะเริ่มไม่เชื่อมั่นในการควบคุมการแพร่ระบาดคงไม่มีใครกล้าใช้จ่าย

วันนี้จะ “คลายล็อก” หรือ “ล็อกดาวน์ “คงไม่มีความหมาย ยังไงเศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้น ธุรกิจก็ยังวังเวงและน่าห่วง ว่าตัวเลขการติดเชื้ออาจจะสูงขึ้น

ผู้เขียน: ทวี มีเงิน …. นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ คอลัมนิสต์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ธุรกิจยักษ์ใหญ่ ผู้คร่ำหวอดในวงการสื่อหนังสือพิมพ์ธุรกิจมากว่า 30 ปี

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ