TH | EN
TH | EN
หน้าแรกColumnist“หุ้นไทย”.... ไร้เสน่ห์

“หุ้นไทย”…. ไร้เสน่ห์

สถานการณ์หุ้นไทยเวลานี้ เข้าตำรา ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น เสียแล้ว เพราะจนถึงตอนนี้ หุ้นไทยโดยเฉลี่ยตกกว่า 20% อาการน่าจะหนักที่สุดในโลกเลยทีเดียว หากจะนับในรอบเกือบ 2 เดือนตั้งแต่มีรัฐบาลใหม่หุ้นไทยดิ่งเกือบ 200 จุด ต่ำสุดในรอบ 3 ปี แม้วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา จะปิดตลาดที่ระดับ 1,388.23 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 17.01 จุด หรือ 1.24% แต่ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงถึง 30.48 จุดถือว่าร่วงแรงมาก ๆ

ส่งผลให้ “ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต้องออกมาแถลงทำความเข้าใจกับนักลงทุนว่า การที่ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงแรงค่อนข้างมาก สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลดลงแรงเช่นกัน โดยมาจากปัจจัยความกังวลจากสถานการณ์ความขัดแย้งจากภาวะสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาส รวมถึงความไม่แน่นอนของทิศทางการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งประเมินว่าประเด็นดังกล่าวจะยังกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกให้มีความผันผวนต่อไป  

ในความเป็นจริง ความผันผวนของตลาดหุ้นไทย ไม่ใช่เพิ่งเกิดแต่มีมาตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นทศวรรษที่หายไป สะท้อนจากดัชนีหุ้นไทย วิ่งเฉลี่ยอยู่แค่ประมาณ 1,536 จุดมาโดยตลอด ทำให้สูญเสียผลตอบแทนจากการลงทุนไปมาก ในช่วง 10 ปีผลตอบแทนหุ้นไทยเฉลี่ยต่อปีโตแค่ +6% ขณะที่เพื่อนบ้านในอาเซียนไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย +61% และเวียดนาม +175% จะเห็นว่าตลาดหุ้นเพื่อนบ้านพัฒนาไปไกลมาก

ปัญหาที่เป็นภาพใหญ่จริง ๆ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีปัญหาโตต่ำกว่าคู่แข่งทุกปี ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ที่เป็นคู่แข่งในเรื่องของตลาดเงิน ตลาดทุน เพราะแย่งทุนของไทยไปมาก โดยจีดีพีของไทย +1.9% แต่จีดีพีเวียดนาม +6% อินโดนีเซีย +4.3% และมาเลซีย +4.2%

จึงไม่แปลกเมื่อนักลงทุนต่างชาติมีทางเลือกมากขึ้นจะห็นว่าให้ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยออกไปกว่า 9 แสนล้านบาท เป็นปัญหาหลักที่ไทยยังไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับต่างชาติได้ เมื่อเทียบจุดขายในภาพใหญ่ของคู่แข่ง ยิ่งในช่วงหลัง ๆ นักลงทุนไทยเองได้หันไปลงทุนในตลาดหุ้นคู่แข่งอย่าง เวียดนามมากขึ้น ยิ่งทำให้เม็ดเงินเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยยิ่งน้อยลงไป

แรก ๆ หลายคนก็ตั้งความหวังไว้ว่าหลังเลือกตั้งประเทศไทยได้มีรัฐบาลใหม่ และไม่ใช่พรรคที่สืบทอดอำนาจคสช. สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยน่าจะดีขึ้น แต่กลับตรงกันข้าม ตลาดหุ้นยังไม่ขานรับ “รัฐบาลเศรษฐา” ทั้งนี้อาจมีหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลอย่างมาก เมื่อรัฐบาลยังยืนยันจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท แม้ช่วงหลัง ๆ เสียงเริ่มอ่อนอาจจะต้องมีการปรับแผนด้วยการไม่แจกให้กับคนที่มีรายได้ต่อเดือน 25,000 บาทขึ้นไป แต่แผนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนนักลงทุนก็ยังกังวลว่า หากยังเดินหน้าแจกแหลกแจกทุกคนคนละหมื่นบาท จะกระทบฐานะการคลังของไทย ขณะที่เศรษฐกิจโลกก็ยังไม่ดี ผลจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น อาจส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วโลก และสร้างแรงกดดันให้เฟดต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก

อีกทั้งนักลงทุนกังวลว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้เปราะบางกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมาตลอด 10 ปี ทำให้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยในตลาดหลักทรัพย์ไทยต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน โดยผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปีนี้ มีกำไรรวมกันเพียง 5 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งผิดคาดค่อนข้างมาก และคาดว่าในปีนี้ทั้งปีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะมีกำไรราว 1.1 ล้านบาท หรือเติบโตราว 4% เท่านั้น

จึงไม่แปลกใจที่ตั้งแต่ต้นปี 2565 นักลงทุนต่างชาติเคยซื้อหุ้นไทยสะสมสูงสุด 2.25 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบันยอดซื้อสุทธิสะสมลดลงจนเหลือเพียง 1.01 แสนล้านบาท (ช่วง 1 ม.ค. 2565 – 1 มิ.ย. 2566) ฉะนั้น เมื่อเศรษฐกิจมีปัญหา ต่างชาติขาดความมั่นใจจึงพากันทยอยเทขายออกไป

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังโดนถล่มจากการทำ Short Sell ของนักลงทุนรายใหญ่ มีทั้งนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งถือหุ้นบลูชิพไว้เต็มเพดาน แต่ไป “ยืมหุ้น” มา “ขายชอร์ต” เพื่อทำกำไร ซึ่งส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อ “นักลงทุนรายย่อยไทย” ทำให้ขาดทุน จนไม่กล้าเข้ามาลงทุนเลยกลายเป็นการกดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยดิ่งแรงกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ เรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งก.ล.ต. และกระทรวงการคลัง ควรเร่งแก้ไขกฎหมายยกเลิก Short Sell โดยเร็วก่อนที่ นักลงทุนรายย่อย ตกเป็นเหยื่อของนักลงทุนรายใหญ่และตลาดหุ้นไทยจะเสียหายมากกว่านี้

แต่ปัญหาใหญ่อีกอัน ที่ไม่มีใครพูดถึง ทั้งที่เป็นตัวทำลายความน่าเชื่อถือตลาดหุ้นไทยอย่างมาก นั่นคือ ความไม่โปร่งใสที่นับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนไทยขาดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ยิ่งถูกซ้ำเติมหนักขึ้นไปอีกจากกรณี ของ More และ Stark รวมไปถึงบริษัทอื่น ๆ ที่ผิดนัดชำระหนี้ แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบกลับไม่ได้เอาจริงเอาจังเรื่องนี้เท่าที่ควร กว่าจะมีมาตรการอะไรก็ช้าไม่ทันสถานการณ์ หากยังไม่เข้ามาดูแลจริงจังกว่านี้ นักลงทุนต่างชาติก็จะหันไปลงทุนในตลาดอื่น ๆ ที่โปร่งใสแทน

นี่คือ ตัวฉุดรั้งตลาดหุ้นไทยยังย้ำอยู่กับที่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นเป็นภาระที่รัฐบาลและหน่วยงานทีเกี่ยวข้องทั้งหลายต้องเร่งปลุกความเชื่อมั่นโดยเร็วที่สุดก่อนที่สถานการณ์หุ้นไทยจะย่ำแย่กว่านี้

ผู้เขียน: ทวี มีเงิน

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจของผู้เขียน

ปลุก “ความเชื่อมั่น” ก่อนสายเกินแก้

1 ทศวรรษ วงจรอุบาทว์ ทำลายข้าวไทย

“มิตเทลสแตนด์”กระดูกสันหลังเยอรมัน

แฟชั่น, อาหาร, ท่องเที่ยว 3 เสาหลักเศรษฐกิจอิตาลี

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ