TH | EN
TH | EN
หน้าแรกSustainabilitySCG ยกระดับธุรกิจสู่เวทีโลกด้วย ESG 4 Plus ลดโลกร้อนด้วย SCG Green Choice

SCG ยกระดับธุรกิจสู่เวทีโลกด้วย ESG 4 Plus ลดโลกร้อนด้วย SCG Green Choice

“ESG” คือ หนึ่งในคำที่ทุกคนคุ้นหู และได้ยินกันบ่อยครั้ง แต่อาจจะยังไม่รู้ความหมายที่แน่ชัดว่า คืออะไร และทำไมทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย จึงตื่นตัวลุกขึ้นมาให้ความสำคัญกับแนวคิดนี้ หลาย ๆ องค์กร ได้นำ “ESG” ไปใช้ในการดำเนินธุรกิจ รวมถึง SCG Group กลุ่มบริษัทที่เติบโตมาเข้าสู่ปีที่ 110 ยืนยันว่า สิ่งที่ SCG ทำมาตลอดตั้งอยู่บนพื้นฐานของ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล เป็นกรอบการพัฒนาที่ใช้ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งล้วนมีความเชื่อมโยงและเกื้อหนุนกัน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้  เผยเคล็ดลับการยกระดับธุรกิจสู่เวทีโลกด้วย ESG 

ณัฐวุฒิ อินทรส Sustainable Development Deputy Director SCG อธิบายถึงภาพรวมของ ESG กับภาคธุรกิจว่า ESG มาจากคำว่า Environmental Social Governance ซึ่ง 3 คำนี้ต้องมาด้วยกัน จะขาดคำใดคำหนึ่งไม่ได้เลย การทำธุรกิจจะคิดถึงผลกำไรอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป สิ่งแวดล้อมต้องได้ด้วย ตัวที่สอง การที่เราอยู่ใน ecosystem เดียวกันตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้บริโภค รวมไปถึงชุมชนต่างๆ การที่เศรษฐกิจจะดีได้ บริษัทจะมีกำไรได้ สังคมต้องดีด้วย ในขณะเดียวกัน การที่เราจะเป็นบรรษัทภิบาล การจะทำให้คนมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่พวกเราทำไป ธรรมาภิบาลของการทำงานเป็นเรื่องสำคัญ 

เพราะฉะนั้น การที่เรามีทั้งด้าน Environment ด้าน Social และด้าน Governance เป็น 3 องค์ประกอบมาบรรจบกันเป็นคำว่า ESG เป็นคำตอบว่าทำไม SCG ถึงมาถึงปีที่ 110 ได้ เพราะว่าความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญ เราจะบูรณาการ  E S และ G เข้ามาอยู่ในธุรกิจของเราทั้งหมดอย่างไร้รอยต่อ เพื่อจะสร้าง The Next Chapter ของเรา ในอีก 100 ปีข้างหน้า นับจากวันนี้เป็นต้นไป

เมื่อโลกที่เราอยู่กำลังเผชิญกับปัญหาและความท้าทายรอบด้าน SCG เชื่อว่า “ESG” ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวให้กับธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในฐานะ “พลเมืองที่ดี” ได้ลุกขึ้นมาร่วมมือกันแก้ไขวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น SCG จึงหาหนทางเข้าไปมีส่วนร่วมแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านั้นตามศักยภาพที่ทำได้ให้มากที่สุด เพื่อร่วมกันนำพา “โลกใบนี้” ไปสู่ความยั่งยืน และส่งต่อโลกที่ดียิ่งขึ้นให้คนรุ่นต่อไป ด้วย ESG  

ในด้านการเงินการลงทุน ESG ก็เป็นเทรนด์ใหญ่และเป็นกระแสหลักสำหรับนักลงทุนทั่วโลกเช่นเดียวกัน ณรงค์พันธ์ ลีสหปัญญา Investor Relations Director SCG อธิบายว่า 

หลายปีที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงที่มีเม็ดเงินของนักลงทุนไหลเข้ามาในกองทุนทั่วโลกที่ใช้ ESG ในการบริหารจัดการ ผลการศึกษาล่าสุดของไพรซ์วอลเตอร์เฮาส์ ระบุว่า การลงทุนที่ใช้ ESG มาประกอบการตัดสินใจ มีการเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด มีเม็ดเงินในสิ้นปีที่แล้ว ประมาณ 18 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์ และคาดการณ์ว่า ภายใน 5 ปี คือปี 2570 จะเพิ่มสูงขึ้นไปถึงประมาณ 34 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์ หรือเติบโตปีละประมาณ 13 %  ในส่วนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค คาดการณ์ไว้ว่าเม็ดเงินลงทุนใน ESG  ในเอเชียแปซิฟิก ปี 2021 ไปถึง 2026 หรือ 5 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นอีก 3 เท่า 

ในแง่ของผลตอบแทนหรือ performance มีผลเชิงประจักษ์ออกมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ ว่าบริษัทที่บริหารจัดการโดยใช้ ESG จะให้ผลตอบแทนกับนักลงทุนในระยะยาวที่ดีกว่าบริษัทที่ไม่ได้เอาแนวทาง ESG เข้ามาช่วยบริหารจัดการ โดยหากมองในระยะสั้นการที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสู่กองทุนที่ใช้ ESG มากขึ้นเรื่อยๆ เงินลงทุนมาก ผลตอบแทนก็มากตามไปด้วย แต่หากมองในระยะยาว การใช้ ESG มาบริหารจัดการ  ช่วยลดความเสี่ยงในระยะยาวลง ทำให้บริษัทมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จทางธุรกิจและคงอยู่ได้นาน เพราะมีภาพลักษณ์ที่ดีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ของบริษัท เช่นเดียวกับข้อมูลด้านธุรกิจ และการเงิน ให้นักลงทุนและผู้บริโภคได้ติดตาม

ในแง่ของการดำเนินธุรกิจ การทำ ESG มีประโยชน์หลักๆ ที่เห็นได้ชัด  2 ด้าน ด้านแรก การทำ ESG  ช่วยในการลดต้นทุน ยกตัวอย่าง สถานการณ์พลังงานที่น้ำมันราคาแพงขึ้นมาก SCG มีการใช้พลังงานทดแทนที่สามารถหาได้ในประเทศ ที่มาจากวัสดุเหลือทางการเกษตร นอกจากลดต้นทุนค่าใช้จ่ายแล้ว ยังทำให้เกษตรกรลดการเผาพื้นที่การเกษตรหลังการเก็บเกี่ยว จึงลดมลพิษทางอากาศลงด้วย ด้านที่สอง ESG ทำให้เกิดการเพิ่มรายได้ เพราะ ESG มีการส่งเสริมให้มีการคิดค้นนวัตกรรม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเนื่องจากเทรนด์เรื่อง ESG มาแรง ทำให้ สามารถขายสินค้าเหล่านี้ เพิ่มรายได้ให้กับกับ SCG ได้มากขึ้นอีก  

กลยุทธ์ ESG 4 Plus “เริ่มด้วยกัน เพื่อเรา เพื่อโลก”

สิ่งที่กำลังเผชิญความท้าทายเรื่องของภาวะโลกร้อน และภาครัฐและภาคเอกชนไทยมีหมุดหมายสำคัญ ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ 20% ในปี 2030 และ ก้าวสู่ Net Zero ในปี 2050 ซึ่งทาง SCG ได้กำหนดเป็นกลยุทธเพื่อมุ่งสู่ SCG Decarbonize ใน ปี 2050 ได้แก่ ESG 4 Plus “มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ” โดยยึดหลักเชื่อมั่นและโปร่งใส

หนึ่งมุ่ง Net Zero ปี 2050 โดยการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มสัดส่วนของพลังงานทางเลือก การลงทุนวิจัยและพัฒนาในด้าน Deep Technology เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมไปจนถึงกิจกรรมสร้างฝายชะลอน้ำ และปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

สอง Go Green เพิ่มนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ฉลาก SCG Green Choice จาก 32% ในปัจจุบันให้เป็น 67% ภายในปี 2030 เปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฑ์ที่รีไซเคิลได้ 100% ภายในปี 2025 เพิ่มปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียน มากกว่า 500 เมกกะวัตต์ ภายในปี 2023 พร้อมวิจัย พัฒนาโซลูชัน เทคโนโลยีดิจิทัล ให้ตรงใจผู้บริโภค ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ

สาม Lean เหลื่อมล้ำ พัฒนาทักษะและอาชีพที่ตลาดต้องการให้ชุมชนและ SMEs 50,000 คน ภายในปี 2030 ยกตัวอย่างเช่น การดึงเอาคนขับแทกซี่ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน value chain ของ SCG การดึงพลังชุมชน ในการรวบรวมขยะเพื่อมาเปลี่ยนเป็นพลังงานในการเผาปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ

สี่ย้ำร่วมมือ สร้างความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมกับหน่วยงานระดับประเทศ และระดับโลก เพื่อขับเคลื่อน ESG เพื่อส่งต่อโลกที่ยั่งยืนให้คนรุ่นถัดไป และสุดท้าย Plus เป็นธรรมโปร่งใส ในทุกการดำเนินการ และตอกย้ำด้วยธรรมาภิบาล ซึ่งในปี 2565 SCG ได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของโลกด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน จากดัชนีความยั่งยืนดาวน์โจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices – DJSI) ในกลุ่มอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง (Construction Materials) และได้คะแนนสูงสุดด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นองค์กรแรกในอาเซียนที่เป็นสมาชิก DJSI ตั้งแต่ปี 2547 เป็นเวลากว่า 19 ปี

Go Green ไปกับ SCG Green Choice

Go Green ไปกับ SCG Green Choice สร้างสินค้าให้ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ไม่เป็นพิษภัยกับสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice เป็นฉลากที่ให้การรับรองผลิตภัณฑ์และบริการที่รักษ์โลก และดีต่อสุขอนามัยของผู้ใช้ โดยทุกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองฉลากนี้ ต้องผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ทรัพยากร-พลังงานตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดการเกิดมลภาวะและของเสีย รวมถึงมีอายุการใช้งานยาวนาน สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ หรือรีไซเคิลได้ ถือเป็นเครื่องหมายการันตีความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่า สินค้าเหล่านี้ให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัย ได้แก่ ประหยัดพลังงาน ลดโลกร้อน, ประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ และยืดอายุการใช้งาน รวมถึงส่งเสริมสุขอนามัยที่ดี โดยครอบคลุมทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ คือ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้ง

SCGC Green Polymer นวัตกรรมเม็ดพลาสติกที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เม็ดพลาสติกประเภท HDPE ที่ผลิตจากเทคโนโลยี SMX ที่ SCGC ได้มีการพัฒนาขึ้นมา ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ตัวเม็ดพลาสติกที่ผลิตจากกระบวนการนี้ มีความพิเศษ คือมีคุณภาพสูง มีความแข็งแรงมาก ทำให้สามารถลดปริมาณการใช้ทรัพยากร สามารถนำกลับมารีไซเคิล และนำกลับมาใช้ใหม่ได้

นอกจากนี้ ในด้านของพลาสติกที่ย่อยสลายได้ในทางชีวภาพ SCG ร่วมกับ Braskem จากบราซิล ในการออกแบบโซลูชั่น Bio-composable compound  ที่ใช้สำหรับทำฟิล์มที่ย่อยสลายได้ในทางชีวภาพ สามารถนำไปใช้ในการทำถุงที่ใช้ในครัวเรือน ถุงที่ใช้ในทางอุตสาหกรรม และ  Eco-Bioplus นวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัว ซึ่งเป็นตัวช่วยเร่งการย่อยสลายของเม็ดพลาสติกประเภทโพลีโพรพิลีน จากเดิมซึ่งกว่าจะย่อยสลายต้องใช้เวลาหลักร้อยปี  Eco-Bioplus ช่วยลดเวลาในกระบวนการย่อยสลายให้เหลือแค่ 2 ถึง 5 ปี ไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ในดิน

นอกจากแง่บรรจุภัณฑ์แล้ว ทาง SCGC ยังมีการพัฒนานวัตกรรมเม็ดพลาสติก สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นที่การทำให้ชิ้นส่วนรถยนต์ยานยนต์ไฟฟ้า มีน้ำหนักเบาขึ้นเพื่อช่วยประหยัดพลังงาน แล้วก็ทำให้รถวิ่งได้ไกลขึ้น โดยมีทั้งเม็ดพลาสติกที่ตอบโจทย์ด้านความปลอดภัย นอกจากทำให้ชิ้นส่วนยานยนต์มีน้ำหนักเบาแล้ว ยังสามารถทนแรงกระแทกได้ดี เม็ดพลาสติกมีความเหนียว แล้วก็ไม่แตกเปราะหักง่าย 

นอกจากเรื่องของความปลอดภัย เบา แข็งแรงแล้ว  ยังมีนวัตกรรมเม็ดพลาสติกอีกกลุ่มหนึ่ง ตอบโจทย์เรื่องความสวยงามของชิ้นส่วนรถยนต์ และอีกหนึ่งประเภทคือ วัสดุคอมโพสิท มีคุณสมบัติพิเศษ คือ มีน้ำหนักเบามากๆ แต่ว่ามีคุณสมบัติความแข็งแรงเทียบเท่ากับโลหะ จึงทำให้เป็นกลุ่มวัสดุที่ยานยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่ๆ  รุ่นใหม่ๆ นิยมใช้มาก 

นอกจากนี้ทาง SCGC ยังได้มีการร่วมทุนกับบริษัท Denka ของประเทศญี่ปุ่น ในการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่าย Acetylene Black ซึ่งความพิเศษ คือ เป็นคาร์บอนแบล็คชนิด มีความบริสุทธิ์ และความนำไฟฟ้าสูงมาก จึงถูกนำไปเป็นสารประกอบส่วนหนึ่งในการผลิตตัวแบตเตอรี่ ลิเธียมไอออนที่ใช้สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้าเลยทีเดียว

บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้จาก SGCP ได้แก่ บรรจุภัณฑ์อาหารภายใต้แบรนด์ Fest เป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ ทำมาจากกระดาษและเยื่อกระดาษ สามารถรีไซเคิลและย่อยสลายได้ และล่าสุดมีบรรจุภัณฑ์อาหาร Paper tray ที่ใช้สำหรับเก็บเนื้อสัตว์แช่เย็น มีคุณสมบัติในการทำให้เนื้อสดที่อยู่ใน tray ตัวนี้ สามารถเก็บได้ยาว สะอาด ปลอดภัย นอกเหนือจากนั้น ในฝั่งของ consumer goods เอง มีบรรจุภัณฑ์ขวดที่ทำจากเยื่อกระดาษมีชื่อเล่นว่า Flip Bot  สามารถใส่ยาสระผม สบู่อาบน้ำ เป็นกระดาษแต่ใส่ของเหลวได้ ตอบโจทย์เรื่องบรรจุภัณฑ์ทางเลือกซึ่งสามารถย่อยสลายได้ ลดการใช้พลาสติก ได้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ 

ฝั่งของบรรจุภัณฑ์โพลิเมอร์ มี OptiBreath เป็นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่สามารถยืดอายุผักและผลไม้ สามารถใช้เก็บผักผลไม้ได้ยาวนานขึ้น ลด Food Waste เนื่องจากเป็นบรรจุภัณฑ์ซึ่งสามารถส่งถ่ายก๊าซ และความชื้นต่างๆ ออกมาได้  และยังมี Odorlock บรรจุภัณฑ์เก็บกลิ่น สำหรับอาหารที่มีกลิ่น อย่างทุเรียน ปลาร้า กุ้งแห้ง ปลาเค็ม เป็นอาหารที่อร่อย แต่อาจจะมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์สำหรับใครบางคน SCGP จึงทำบรรจุภัณฑ์นี้ขึ้นมา โดยใช้นวัตกรรมในการเลือกวัสดุและเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม

ถังหมักปุ๋ยอินทรีย์ คู่ดิน by SCGP ถือว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การกำจัดขยะเศษอาหาร สามารถใช้ภายในบ้านก็ได้ ในชุมชนก็ได้ โดยเอาอาหารที่เหลือจากการรับประทาน ใส่ลงไปในถังตัวนี้ ซึ่งมีดีไซน์สวยงาม ฝังไว้ตามสวน บริเวณข้างบ้าน  ถังนี้สามารถที่จะป้องกันไม่ให้มีกลิ่นเหม็นออกมา และสามารถดึงจุลินทรีย์ที่มาจากดิน เข้าไปย่อยเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ยใช้กับพืชผักสวนครัว และทำให้ดินบริเวณนั้นสามารถใช้ในการเพาะปลูกได้ดี 

ก่อสร้างอย่างไรไม่ให้โลกร้อน  การก่อสร้างทั่วไป ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ มากถึง 40 % ของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมด ทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่ ว่า ก่อสร้างอย่างไรไม่ให้โลกร้อน คำตอบ คือ การต้องใส่ใจทุกกระบวนการของการก่อสร้างตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ซึ่ง SCG ได้พัฒนา “Green Solution” โดยยึดแนวคิดนี้เป็น Roadmap สำคัญ ทั้งการออกแบบสินค้าวัสดุก่อสร้างให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น คอนกรีตรักษ์โลก หรือซีเมนต์สูตรไฮบริดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก็ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตได้เป็นอย่างดี  ประกอบกับการออกแบบอาคารที่ช่วยประหยัดพลังงาน ตลอดจนกระบวนการอื่น ๆ เพื่อปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ให้น้อยที่สุด และมุ่งไปสู่เป้าหมายการเป็นต้นแบบการก่อสร้างที่ปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon) ในอนาคต

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

SCG เปิดโรดแมป The Next Chapter มุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว

SCG ชวน นิสิต/นักศึกษา ร่วมโครงการ WEDO Young Talent Program 2023

5 ประโยชน์และความคุ้มค่า เมื่อปรับบ้านให้เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้า ด้วยหลังคา SCG SOLAR ROOF

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ