เรียบร้อยแล้วสำหรับครม.ลุงตู่ 2/2 อาจจะไม่จ๊าบไม่ใช่ระดับ ”ดรีมทีม” หรือเกรดเอบวก แต่ไม่ถึงกับแย่ อย่างน้อย ๆ รัฐมนตรีคนนอกก็ระดับนักบริหารมืออาชีพ เคยเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรขนาดใหญ่มาแล้ว ทั้ง “สุพัฒนพงษ์พันธุ์มีเชาว์” ที่ควบรองนายกฯ และรัฐมนตรีพลังงาน ส่วน “ปรีดีดาวฉาย” รัฐมนตรีคลังคนใหม่ก็เคยเป็นเอ็มดีแบงก์ใหญ่และยังเป็นประธานสภาธุรกิจเอกชน 3 สถาบัน เครือข่าย “คอนเน็กชั่น” ภาคธุรกิจเอกชนแน่นปึ๊ก
แต่ดีกรีและประสบการณ์ที่ผ่านมาจะพอรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจที่ หนักหนาสาหัสกำลังจะเป็น “มรสุมลูกใหญ่” ถล่มใส่รัฐบาลได้หรือไม่นั้น คงต้องให้เวลาพิสูจน์ อย่างที่รู้ ๆ กันว่า เศรษฐกิจโลกที่หดตัวอย่างรุนแรง ลูกค้าในต่างประเทศลดการบริโภค ลดนำเข้า ลดการท่องเที่ยวลง และระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
นั่นเท่ากับทำให้รายได้หลักของประเทศต้องขาดหายไป แบงก์ชาติจึงปรับประมาณการอัตราการส่งออกในปี 2563 ลดลงจาก -16.4% เป็น – 22.7% แสดงให้เห็นว่าช่วงเวลาที่เหลือของปี การส่งออกยังดำดิ่งลงไปกว่าเดิมขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวคงต้องรอเวลาอย่างเร็วที่สุดก็ประมาณ 2 ปีกว่าจะกลับมาได้
สิ่งที่ปรากฎให้เห็นจนชิน นั่นคือ ธุรกิจที่กลั้นหายใจไม่ไหวต้องทยอยเลิกกิจการ โรงงานก็ประกาศปิดลอยแพคนงานเป็นรายวัน มีหลายสถาบันประเมินว่าอาจจะมีคนตกงานมากถึง 8 ล้านคน ต้องคอยดูว่ารัฐมนตรีใหม่ป้ายแดงในครม.ลุงตู่ 2/2 จะเอาอยู่หรือไม่
รัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่คงต้องทำงานหนักเพื่อ “เรียกความเชื่อมั่น” ปัจจัยแรกที่จะทำเศรษฐกิจจะฟื้นได้หรือไม่ คือ “ความเชื่อมั่น” หากภาคธุรกิจเชื่อมั่น นักลงทุนเชื่อมั่น ก็กล้าลงทุน ชาวบ้านก็กล้าจับจ่ายใช้สอย ระบบเศรษฐกิจก็จะเกิดการหมุนเวียน แต่ถ้ายังแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ วิกฤติเศรษฐกิจก็จะเป็นมรสุมถล่มใส่รัฐบาล
มรสุมลูกต่อมา คือ ความศรัทธาและเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล หลังจากเลือกตั้งและมีรัฐบาลผสมโดยพลังประชารัฐเป็นแกนนำ ประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธาอย่างหนัก ความไม่เชื่อมั่นรัฐบาลแรงขึ้นเรื่อย ๆ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ผ่านมา ก็มุกเก่า ๆ เน้นลดแลกแจกแถม รัฐมนตรีในรัฐบาลบางคนไม่เป็นที่ยอมรับ มีการบังคับใช้กฏหมายที่ไม่เป็นธรรม เกิดปัญหาทุจริตมากมายจากคนในแวดวงรัฐบาล รวมถึงความวุ่นวายในพรรคร่วม เฉพาะอย่างยิ่งพลังประชารัฐที่เล่นการเมืองกันเละเทะจนเสถียรภาพรัฐบาลต้องสั่นคลอน
หลังจากนี้ต้องดูว่ารัฐบาลลุงตู่ 2/2 จะบริหารประเทศเป็นไปด้วยความราบรื่นหรือไม่ คลื่นลมในพลังประชารัฐจะสงบเงียบหรือจะยิ่งเกิดแรงกระเพื่อมจากการตีรวนของกลุ่มที่ผิดหวังเก้าอี้รัฐมนตรี จนทำให้รัฐบาลทำงานลำบากหรือไม่ ลุงตู่จะบริหารจัดการบ้านเมืองอย่างไรเพื่อเรียกศรัทธากลับคืนมา
แต่มรสุมที่กำลังทวีความรุนแรงขยายวงกว้างตามลำดับ นั่นคือ “การชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวทางการเมืองรอบใหม่ ที่มาพร้อมเงื่อนไขเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิบัติตาม คือ 1.หยุดคุกคามประชาชน 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญ 3.ยุบสภาเลือกตั้งใหม่
แม้ “ลุงตู่” จะประกาศสนับสนุนกระบวนการแก้ไขรธน. แต่ดูเหมือนจะไม่ทำให้ ‘กลุ่มเยาวชนปลดแอก’ หยุดประท้วง แต่อย่างใด แถมยกระดับเข้มข้นขึ้น
จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่มีโอกาสสูงยิ่งที่มรสุมทั้ง 3 ลูกจะหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นมรสุมลูกใหญ่ที่มีพลานุภาพทำลายล้างเสถียรภาพรัฐบาลอย่างรุนแรง หากปัญหาเศรษฐกิจยังแก้ด้วยกรอบเดิม ๆ ไม่มีอะไรใหม่ ตัวเลขธุรกิจปิดกิจการยังไหลไม่หยุด คนงานต้องตกงาน ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ กลายเป็นปัญหาสังคมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เหนือสิ่งใด คนชนบท ชาวนาชาวไร่ ที่เดือดร้อนจากวิกฤติภัยแล้ง พืชผลการเกษตรตกต่ำขายไม่ได้ราคา เงินเยียวยาก็หมด ชาวไร่ชาวนาจากชนบทก็พร้อมจะเข้ากรุง ปักหลักหน้าทำเนียบประท้วงรัฐบาล
ตราบใดที่รัฐบาลที่นำโดยลุงตู่ไม่สามารถเรียกศรัทธาในการบริหารประเทศได้ นักการเมืองยังทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาสร้างความไม่พอใจให้กับคนชั้นกลางในเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจัยเหล่านี้จะผลักให้คนชั้นกลางในเมืองพร้อมจะออกมาร่วมกับเยาวชนคนหนุ่มสาว ชาวไร่ชาวนาปักหลักประท้วงขับไล่รัฐบาลได้ทุกเวลา
หากมรสุมทั้งสามลูกหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อไหร่ จะไม่ใช่แค่พัดกระหน่ำให้เสถียรภาพรัฐบาลสั่นคลอน แต่จะทวีกำลังแรงสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
ทวี มีเงิน
ภาพจาก thaigov
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
