TH | EN
TH | EN
หน้าแรกBusinessSiri Ventures เดินหน้าลงทุนสตาร์ตอัพ พัฒนาเทคโนโลยี สร้างรายได้เพิ่ม

Siri Ventures เดินหน้าลงทุนสตาร์ตอัพ พัฒนาเทคโนโลยี สร้างรายได้เพิ่ม

ผลกระทบที่เกิดจากโควิด-19 ส่งผลให้อสังหาริมทรัพย์ต้องปรับตัวในทันที ทั้งเรื่องความปลอดภัย และเรื่องสภาพจิตใจของลูกบ้าน ในช่วง 2-3 เดือน Siri Ventures นำเทคโนโลยีไร้สัมผัสเข้ามาแก้ปัญหาเพื่อเลี่ยงการสัมผัสประตู ก๊อกน้ำ รวมไปถึงเทคโนโลยี Home Service แอปฯ ที่เข้ามาช่วยลูกบ้านที่ไม่ต้องการสัมผัสอะไรที่ไม่จำเป็น เช่น การประทับตราแขกที่เข้ามาหาลูกบ้าน (e-Stamp) รวมถึงการรับส่งพัสดุระหว่างลูกบ้านกับนิติบุคคล แบบไร้สัมผัส

จิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด (Siri Ventures) กล่าวกับ The Story Thailand ว่า การพัฒนาระบบที่เกิดจากวิกฤติโควิด-19 เป็น การปรับในระยะสั้น แต่ในระยะยาวไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พฤติกรรมบางอย่างที่เปลี่ยนไปแล้ว เช่น การสั่งของออนไลน์ การไม่สัมผัสอะไรที่ไม่รู้จัก การเว้นระยะห่างทางสังคม จะยังอยู่หลังจากผ่านวิกฤติรอบนี้ไปแล้ว

เทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคต หลายคนเริ่มพูดกันถึงเรื่องการที่คนทำงานจากบ้านได้ หรือคนไม่อยากอยู่ในสถานที่ที่มีคนมาก ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่คนจะเปลี่ยนความคิดในการซื้อที่อยู่เพราะปัจจัยเรื่องการดำรงชีวิต คือ สภาพแวดล้อม คนที่อยู่ในตึกสูงในเมือง อาจจะซื้อเพราะชอบสถานที่ใกล้เคียง ส่วนคนที่อยู่บ้านชานเมือง ซื้อเพราะต้องการชีวิตความเป็นอยู่ในหมู่บ้านที่มีความปลอดภัยมีที่ออกกำลังกาย

“เราจึงคิดว่าลูกบ้านต้องการอะไร เช่น ทำอย่างไรให้ทุกจุดมีสัญญาณ WiFi เมื่อคนจะต้องทำงานอยู่บ้านมากขึ้น เรื่องความปลอดภัยจะต้องมีประสิทธิภาพและปลอดภัยกับลูกบ้าน เราต้องปรับตัวเพื่อให้ลูกบ้านที่อยู่อาศัยในโครงการในอนาคตมีความสบายใจ”

Siri Ventures โฟกัสเทคโนโลยี 4 เรื่อง คือ

-เทคโนโลยีการก่อสร้าง
-เทคโนโลยีการบริหาร
-เทคโนโลยีการชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี
-เทคโนโลยีความยั่งยืน

“เราอาจจะสลับลำดับความสำคัญบางอย่างที่จำเป็นและต้องมาก่อน เช่น เมื่อเกิดวิกฤติโควิด-19 ก็จำเป็นต้องพัฒนาระบบ e-Stamp รวมถึงทำอย่างไรให้คนสัมผัสน้อยที่สุด”

จิรพัฒน์ กล่าวต่อว่า Siri Ventures ให้ความสำคัญทุกเทคโนโลยีเท่า ๆ กัน เทคโนโลยีก่อสร้างบ้านเราทำได้รวดเร็วขึ้นและต้นทุนถูกลง เทคโนโลยีการบริหาร เพราะถ้าสร้างแล้วขายไม่ได้ บริหารไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยก็สำคัญ ลูกบ้านต้องอยู่และมีความสุข ส่วนเทคโนโลยีความยั่งยืน ก็มีการลงทุนในหลาย ๆ อย่าง แต่ในช่วงครึ่งปีหลังจะเน้นให้ความสำคัญกับเรื่องของความยั่งยืนในด้านพลังงาน

“เราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ลูกบ้านได้รับผลกระทบค่อนข้างมากโดยเฉพาะในช่วงที่ทุกคนอยู่บ้านและใช้ไฟมากขึ้น เราทำเรื่องพลังงานสะอาด เช่น รถอีวี กังหันลมผลิตไฟฟ้า อีกส่วนที่เราเน้นย้ำและช่วยผลักดันให้เกิดการใช้ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง คือ เรื่องมิเตอร์อัจฉริยะ (Smart Meter) เพื่อให้ลูกบ้านได้เห็นว่าใช้ไฟกันน้ำไปเท่าไหร่แล้ว และเราจะช่วยให้เขาประหยัดได้อย่างไรโดยให้ระบบเรียนรู้ และแนะนำ”

ปัจจุบันมีการทดลองการแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างตึกโดยใช้บล็อกเชน ซึ่งอยู่ในระหว่างศึกษาว่าถ้านำมาใช้กับลูกบ้านให้สามารถผลิตพลังงานใช้เองเช่น จากแสงแดด หรือลม และเพิ่งปิดการลงทุนในการติดตั้ง EV Charger ให้ลูกบ้านรู้ได้ว่าที่ชาร์จว่างอยู่หรือไม่ และสามารถจองชาร์จได้

รุกพัฒนาเทคโนโลยี ขายบริการสร้างรายได้เพิ่ม

จิรพัฒน์ กล่าวว่า Siri Ventures ยังเป็น CVC ที่ตั้งมาเพื่อสนับสนุนแสนสิริ แต่จะเริ่มออกไปสร้างรายได้จากข้างนอก เช่น การทำแอปฯ Home Service ทำให้เข้าใจลูกบ้าน และสามารถนำความเข้าใจออกไปสร้างรายได้กับบริษัทข้างนอกได้

ในด้านระบบนิเวศกับพาร์ทเนอร์ ปีที่แล้วได้เปิดตัว PropTech Sandbox ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ รวมถึงโดรนขนส่ง และจะพัฒนาต่อในปีที่ 2 เพราะสตาร์ตอัพจะได้ประโยชน์กับการทดสอบในสถานที่จริงกับลูกบ้านจริง

รวมถึงมีนักลงทุนจากต่างประเทศ มาทำเรื่อง Smart City หรือ Home Security

เล็งลงทุนสตาร์ตอัพเพิ่ม พร้อมปั้นพนักงานเป็นสตาร์ตอัพ

จิรพัฒน์ กล่าวว่า หลังจากวิกฤติจะเห็นสตาร์ตอัพที่มีความยืดหยุ่นง่ายขึ้น ใครที่ปรับตัวได้ CVC จะเลือกลงทุนได้ง่ายขึ้น ในพอร์ตของ Siri Ventures ได้รับผลกระทบแทบจะทุกราย ทั้งที่ลงทุนในไทยและต่างประเทศ บางบริษัทมีการเลื่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ลดพนักงาน

“วิกฤติครั้งนี้ทั้งเหนื่อยและดี ทำให้ CVC ต้องกลับไปดูบริษัทในพอร์ตของตัวเองว่าใครเป็นอย่างไร และจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง”

Siri Ventures จะลงทุนสตาร์ตอัพอีกประมาณ 3-4 ราย ส่วนมากจะเข้ามาตอบโจทย์เทคโนโลยี 4 เรื่องหลัก แต่จะมีสตาร์ตอัพที่ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยในอนาคต

ขณะเดียวกันประเทศไทยมี CVC ค่อนข้างมาก สตาร์ตอัพสามารถเข้ามาทดสอบได้จริงในอุตสาหกรรม อยากให้สตาร์ตอัพลองเข้ามาคุย เพราะวิกฤติทำให้ทุกคนชะลอการลงทุน ถ้านำงบประมาณมารวมกันตอนนี้มีมากมายมหาศาล เพียงแต่ว่าสตาร์ตอัพจะต้องขายตัวเองให้ได้

“เรามีงบลงทุน 1,500 ล้านบาท ที่ใช้มา 2 ปีครึ่งแล้ว เราไม่ได้มองว่าสตาร์ตอัพจะต้องอยู่ใน Stage ไหน แต่จะต้องมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ในระดับหนึ่ง เริ่มมีลูกค้า และทำงานร่วมกันได้ และมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปร่วมลงทุนได้”

จิรพัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนโครงการ The Founder ที่ให้พนักงานนำปัญหามาสร้างธุรกิจ เป็นการสร้างให้พนักงานมีความคิดแบบเถ้าแก่ สร้างนวัตกรรมเข้ามาแก้ปัญหา ซึ่ง Siri Ventures เข้าไปช่วยตั้งแต่การอบรม แก้งาน นำเสนอ ทำตัวต้นแบบ รวมถึงให้เงินทุนเพื่อนำไปจ้างนักพัฒนาเข้ามาในทีม

คาดว่าในปลายปีนี้จะสามารถที่จะแยกตัวไปตั้งเป็นบริษัท หรือเป็นบริษัทใหม่ในเครือแสนสิริได้ และล่าสุดกำลังจะรับรุ่นที่ 2

“การเปลี่ยนมนุษย์เงินเดือนให้มาเป็นผู้ประกอบการนั้นมีความยาก ซึ่งบางไอเดียดี สามารถเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้แต่ไม่สามารถสเกลได้ แต่บางไอเดียสามารถนำไปขายคนข้างนอกได้ ก็จะดึงให้มาอยู่ในโครงการ The Founder”

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

-“Ookbee” จากธุรกิจอีบุ๊คสู่การเป็น Digital Content Ecosystem ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
-SCB ส่ง Robinhood กระตุ้นตลาด ลดผูกขาด ลุยเกมมาราธอน ต่อยอดธุรกิจ
-CVC ไทย เงินทุนเหลือแต่ระวังการลงทุน เตรียมช่วยปูทางสู่ exit
-บริการต่าง ๆ ของ Google คือ “ผู้ช่วยส่วนตัว” ที่สำคัญ ช่วงโควิด-19
-โซเชียลมีเดีย เครื่องมือการตลาดในภาวะวิกฤติ

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ