TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyกระทรวงอว. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG โชว์งานวิจัย วว. ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19

กระทรวงอว. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG โชว์งานวิจัย วว. ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มุ่งแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วย BCG โมเดล โชว์ผลงานวิจัยของ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ที่ได้ดำเนินโครงการตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ด้านการใช้ประโยชน์จุลินทรีย์โพรไบโอติกและสารชีวภัณฑ์ ระบุผลดำเนินงานในปี 2564 สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมได้กว่า 860 ล้านบาท 

เผยปี 2565 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชูโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม หวังสร้างความมั่นคงทางอาหาร ความยั่งยืนด้านเกษตรกรรม สร้างมูลค่า การแปรรูปด้านอาหาร เครื่องดื่ม สารสกัดมูลค่าสูง และการท่องเที่ยวเชิงอาหารอัตลักษณ์ในชุมชน  

ศ.(พิเศษ) ดร.เอนกเหล่าธรรมทัศน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอว. กล่าวว่า อว. เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนประเทศเชิงบูรณาการในทุกมิติ มุ่งใช้ความได้เปรียบเชิงทรัพยากรและวัฒนธรรมโดยการขับเคลื่อนนโยบาย BCG เป็นฐานในการพัฒนา ที่มีเป้าหมายร่วมคือ “ก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง สู่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างยั่งยืนภายใน 7 ปี” 

และจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทุกส่วนในสังคมได้รับผลกระทบนั้น อว. ได้ดำเนินงานเชิงรุกในการนำองค์ความรู้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เข้าไปช่วยตอบโจทย์ แก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการดำเนินงานแบบบูรณาการของหน่วยงานในสังกัดและพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีกลไกขับเคลื่อน อาทิ การสร้างเศรษฐกิจจากฐานจุลินทรีย์ให้มีมูลค่าอย่างน้อย 3,000 ล้านบาทต่อปี โดยการสร้างผู้ประกอบการ ธุรกิจฐานนวัตกรรม เพิ่มสมรรถนะการวิจัยและบุคลากร พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยเอื้อ (Microbial bank การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์) ส่งเสริมการลงทุนและมาตรการทางการเงิน รวมทั้งมุ่งเน้นสนับสนุนให้มีการทำเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น สามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมโดยรวม

“…สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย หรือ วว. เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดของ อว. ที่ได้รับการคัดเลือกจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้เข้าร่วมโครงการใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนด ตามแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ในด้านจุลินทรีย์และสารชีวภัณฑ์ที่จะช่วยให้การขับเคลื่อนของอว. เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ขอให้เชื่อมั่นว่าเราจะนำองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญของ อว. ช่วยให้สังคมของเราแข็งแกร่ง ยืนหยัดได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน…” ศ.(พิเศษ)ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์  กล่าว  

ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงอว. กล่าวว่า อว. มุ่งเป็นองค์กรเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ภายในปี 2580 ผลกระทบจากโควิด-19 เป็นที่ประจักษ์ของทุกภาคส่วนในสังคม ถือเป็นโอกาสของอว. ที่จะนำผลงานการวิจัยและการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพัฒนาชุมชน สังคม และประเทศ ให้เข้มแข็ง สามารถปรับตัวให้อยู่กับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นให้ได้อย่างมีคุณภาพ ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ภาคภูมิใจและเชื่อมั่นว่า อว. และเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐ/เอกชน จะเป็นกลไกสำคัญที่จะร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้ฟื้นตัวได้โดยเร็วและยั่งยืน ดังที่แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมได้มุ่งเน้นการบูรณาการสหสาขาวิชา รวมถึงเป็นเครื่องมือในการทำงานร่วมกันของหน่วยงานทั้งในและนอกกระทรวง เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาโจทย์ท้าทายของประเทศในทุกมิติและเตรียมการสู่อนาคต

ศ. (วิจัย) ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการวว. กล่าวถึงการดำเนินงานภายใต้โครงการใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดว่า ผลการดำเนินงานในปี 2564 สามารถสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจำนวน 860 ล้านบาท โดยได้รับการอนุมัติจำนวน 2 โครงการ ดังนี้ โครงการที่ 1 ศูนย์นวัตกรรมผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร (ICPIM) เป็นคลังหัวเชื้อจุลินทรีย์กว่า 10,000 ชนิด มีภารกิจวิจัยพัฒนา ผลิต บริการ ด้านอาหารและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากโพรไบโอติก/พรีไบโอติก ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับคนไทย ผลสำเร็จการดำเนินงานสามารถสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการและเศรษฐกิจของประเทศ 

ดังนี้ ขยายการผลิตจุลินทรีย์เพิ่มขึ้นได้ 25,000 ลิตรต่อปี พัฒนานวัตกรรมจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่โดดเด่นได้ 15 สายพันธุ์ที่มีศักยภาพตามมาตรฐานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และขึ้นทะเบียนสายพันธุ์จุลินทรีย์โพรไบโอติกกับ อย. ได้แล้วจำนวน 8 สายพันธุ์และอยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนอีก 7 สายพันธุ์ สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เสริมโพรไบโอติก ได้แก่ ไอศกรีม นมอัดเม็ด ปลาร้าผง น้ำพริกพร้อมทาน เครื่องดื่มชงเย็น jelly และอาหารเสริมสูตรฟังก์ชั่นสำหรับ 1.ลดน้ำหนัก 2.สร้างภูมิคุ้มกัน 3.ลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน 4.กระตุ้นการทำงานของสมอง และ 5.ปรับสมดุล 

รวมทั้งพัฒนานวัตกรรมการยืด Shelf life ของโพรไบโอติกในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ นวัตกรรมลดต้นทุนการผลิตโพรไบโอติกเพื่อการแข่งขันด้านราคากับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ นวัตกรรม synbiotics และ post-biotics เพื่อเสริมภูมิสุขภาพและป้องกันโรค NCDs สามารถสร้างผู้ประกอบการได้ 41 ราย ชดเชยการนำเข้าหัวเชื้อจุลินทรีย์ได้ 30% ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ 380 ล้านบาท และผลกระทบทางสังคม 110 ล้านบาท 

โครงการที่ 2 โครงการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคกลางตะวันตกด้วย BCG โมเดล มีผลสำเร็จการดำเนินงาน ดังนี้  

1. ผลิต “สารชีวภัณฑ์ 5 สายพันธุ์” ร่วมสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานพื้นที่ “กลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัด” รวมจำนวน 1.3 ล้านลิตร เพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืชทดแทนสารเคมีทางการเกษตร ลดสารพิษตกค้าง เพิ่มความปลอดภัย ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรผู้ใช้ ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม และลดการนำเข้าสารเคมีจากต่างประเทศ โดย วว. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสารชีวภัณฑ์ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และอยุธยา ครอบคลุม 4 กลุ่มพืชเศรษฐกิจ ได้แก่  ไม้ผล พืชไร่ (ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง) พืชสมุนไพรและพืชผัก   

2. พัฒนากระบวนการขยายชีวภัณฑ์ทั้งในระดับห้องปฏิบัติการเพื่อขยายสู่การผลิตเชิงพาณิชย์และระดับชุมชน

3.  จัดตั้งศูนย์นวัตกรรมผลิตเชื้อจุลินทรีย์ทางการเกษตร (Innovative Center for Production of Microorganisms Used in Agro- Processing Industry, ICAP) มีกำลังการผลิต 115,000 ลิตรต่อปี ส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้  

1) มีเกษตรกรกว่า 200 ราย นำเทคโนโลยีไปใช้ในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยการพัฒนาปัจจัยการผลิตหมุนเวียนสำหรับเกษตรกรแปลงใหญ่เพิ่มขึ้นได้ 5 ปัจจัยการผลิต จำนวน 6 เทคโนโลยี ดังนี้  

    1.1 เทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการหน่อไม้ฝรั่งเพื่อการส่งออก

    1.2 เทคโนโลยีการผลิตข้าวเสริมซีลีเนียม 

    1.3 เทคโนโลยีการพัฒนาวัสดุเพาะเห็ด (ฟางข้าวเสริมซีลีเนียม กากมันสำปะหลัง)

    1.4 เทคโนโลยีการเพิ่มคุณภาพผลผลิตอ้อยด้วยปุ้ยอินทรีย์เคมีเสริมจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต  

    1.5 เทคโนโลยีการเพิ่มคุณภาพและเพิ่มผลผลิตพืซด้วยสารควบคุมการเจริญเติบโต (มันสำปะหลัง กล้วย) 

    1.6 เทคโนโลยีขยายชีวภัณฑ์ในถังชุมชนโมเดล วว. 

 2) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร โดยมีเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และบริษัท รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต functional food และบรรจุภัณฑ์ 

 3) มีผู้ประกอบการร่วมลงทุนด้าน R&D ภายใต้ BCG Model 

 4) เกิดต้นแบบผลิตภัณฑ์ functional food และเวชสำอาง จำนวน 10 ผลิตภัณฑ์ และต้นแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จำนวน 2 ต้นแบบ ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการดำเนินงานข้างต้นจำนวน 370 ล้านบาท

ผู้ว่าการวว. กล่าวต่อว่า การดำเนินงานภายใต้โครงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติมจาก พ.ศ. 2564 วว. จะขยายผลการดำเนินงานทั้งสองโครงการ ดังนี้ 

1. ศูนย์นวัตกรรมผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร (ICPIM) อาทิ ถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างผู้ประกอบการ 100 ราย พัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกเพื่อลดภาวะเมทาบอลิกซินโดรม (Metabolic Syndrome) ที่ผ่านการทดสอบระดับคลินิกในมนุษย์ ส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดใหญ่ให้เกิดการลงทุนด้านเทคโนโลยี สร้างทักษะบุคลากรด้าน วทน. 150 ราย เพื่อรองรับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจฐานชีวภาพของประเท

2.โครงการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคกลางตะวันตกด้วย BCG โมเดลระยะที่ 2 ขยายผลใน 3 ภูมิภาค 15 จังหวัดเป้าหมาย ใน 4 กลุ่มพืชเศรษฐกิจขยายผลเทคโนโลยีชีวภัณฑ์ร่วมกับระบบ Smart farm เพื่อยกระดับการผลิตพืชมุ่งเน้นเกษตรกรใน 2 ระดับ คือ กลุ่มเกษตรกรที่ผ่านการรับรองระบบการผลิตพืชอินทรีย์และกลุ่มการผลิตพืชปลอดภัย และ กลุ่มเกษตรกรที่อยู่ในระยะการปรับเปลี่ยนเพื่อเข้าสู่ระบบการผลิตพืชอินทรีย์และการผลิตพืชปลอดภัย และเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรโดยแปรรูปเป็นสารสกัดมาตรฐานและต้นแบบผลิตภัณฑ์ functional food/เวชสำอาง รวมถึงขยายผลถ่ายทอดเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร 

นอกจากนี้จะดำเนินโครงการใหม่อีก 1 โครงการ คือ การยกระดับเศรษฐกิจฐานรากระดับจังหวัดด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจระดับชุมชนท้องถิ่นให้สามารถมีความเข้มแข็ง เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและพึ่งพาตนเองได้  มุ่งสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food  Security) ผลิตอาหารที่มีคุณภาพได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตที่ดีตลอดห่วงโซ่คุณค่า และสร้างความยั่งยืนทางการผลิต การแปรรูปและการท่องเที่ยวเชิงนวัตกรรมอัตลักษณ์ในชุมชน 

โดยผลผลิตที่จะเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมคือ เกษตรกรนำ วทน. เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตทางการเกษตร สามารถแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่าจากโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมและทันสมัย สามารถสกัดสารสำคัญที่มีมูลค่าสูงจากสินค้าเกษตร สามารถสร้างระบบการท่องเที่ยวเชิงอาหารอัตลักษณ์ในพื้นที่ด้วยองค์ความรู้ด้าน วทน. สร้างรายได้แก่เกษตรกรในระดับภูมิภาคและท้องถิ่นอย่างน้อย 240,000 บาท/คน/ปี สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตรอย่างน้อยร้อยละ 30 ถ่ายทอดเทคโนโลยีในระดับภูมิภาค 27 จังหวัด มีผู้รับองค์ความรู้อย่างน้อย 30,000 ราย เกิดการท่องเที่ยวเชิงนวัตอัตลักษณ์ใน 2 จังหวัด 

การท่องเที่ยวเชิงอาหารอัตลักษณ์ (Gastronomy) เป็นการนำวิทยาศาสตร์มาวิเคราะห์หาสารสำคัญในวัตถุดิบพื้นถิ่นในการปรุงอาหาร แล้วนำวิทยาศาสตร์การปรุงอาหารแบบสมัยใหม่ มาสร้างความแปลกใหม่ในอาหารพื้นถิ่นที่เป็นอัตลักษณ์ ผลิตภัณฑ์จากโครงการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เช่น  

1.ด้านการผลิต การเปลี่ยนสายพันธุ์สับปะรดจากปัตตาเวียเป็น MD-2, การขยายขนาดของผลลองกอง การผลิตพืชนอกฤดู  

2. ด้านการแปรรูปเป็นสารตั้งต้นสำหรับการผลิตอาหาร เช่น กลิ่น สี Puree 

3.การแปรรูปเป็นสารตั้งต้นสำหรับการผลิตยาสมุนไพรและเครื่องสำอาง เช่น สารสกัดจากเมล็ดมะขาม สารสกัดจากสับปะรด สารสกัดจากเปลือกมังคุด เป็นต้น รวมทั้งการท่องเที่ยวเชิงอาหารอัตลักษณ์ เช่น แกงหวายและแกงเห็ดป่า (สกลนคร) แกงแพะและน้ำพริกกุ้งเสียบ (กระบี่) เป็นต้น

ฟีเจอร์เด็ดของทวิตเตอร์กระตุ้นบทสนทนาและชุมชนต่าง ๆ ในไทยปี 2564

รวมปรากฏการณ์เพลงฮิตติดกระแสบน TikTok ประจำปี 2021

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ