TH | EN
TH | EN
หน้าแรกTechnologyคณะวิทย์ มธ. จับตาภาครัฐใช้ AI ให้บริการประชาชน แนะดึงจุดแข็ง AI ยกระดับการให้บริการ

คณะวิทย์ มธ. จับตาภาครัฐใช้ AI ให้บริการประชาชน แนะดึงจุดแข็ง AI ยกระดับการให้บริการ

คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  จับตาภาครัฐใช้ AI ช่วยบริการภาคประชาชนหลังพบการประกาศเตรียมนำร่อง ให้บริการจัดเก็บภาษี ที่ช่วยพลิกโฉมการให้บริการดิจิทัลภาครัฐ หนุน ‘ภาคประชาชน-ภาคเอกชน-ภาครัฐ’ ใช้ประโยชน์เทคโนโลยีดีพเทค

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปกป้อง ส่องเมือง อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า จับตาภาครัฐใช้ AI ช่วยบริการภาคประชาชน หลังพบการประกาศเตรียมนำร่อง ใช้ Chat-GPT ให้บริการจัดเก็บภาษี โดยคณะวิทย์ มธ. มองว่า เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่เป็นการสร้างสมดุลระหว่าง ‘มนุษย์-AI’ และยังเป็นโอกาสในการใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อยกระดับการให้บริการของภาครัฐ ในฐานะผู้ให้บริการแก่ภาคประชาชน โดยเฉพาะการตอบข้อสงสัย ไปจนกระทั่งการตรวจสอบจากประชาชนตามหลักธรรมาภิบาล

การประกาศจุดยืนของภาครัฐ ในการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยปลดล็อกการทำงานด้านการบริการประชาชน ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการแก้ปัญหาเชิงระบบที่เกิดจากจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาล ที่มีความซับซ้อนหรือจำเป็นต้องจัดเตรียมเอกสารจำนวนมาก ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดข้อผิดพลาดและสูญเสียเวลาในการเข้ารับ-ให้บริการ 

คณะวิทย์ มธ. มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการนำ AI เข้ามาใช้ประโยชน์กับบริการของภาครัฐ โดยใช้จุดแข็งของ AI มาช่วยยกระดับในการใช้บริการ ดังนี้

  1. AI เชื่อมโยงข้อมูลมหาศาลสู่การให้บริการที่รวดเร็ว เนื่องจากภาครัฐมีข้อมูลจำนวนมาก ซึ่ง AI สามารถช่วยจัดระเบียบข้อมูล พร้อมวิเคราะห์ความต้องการของผู้เข้ารับบริการ ซึ่งช่วยลดการรอคอย สะดวก รวดเร็ว
  2. AI ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือสร้างธรรมาภิบาล ในการเก็บรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลที่ว่าด้วยระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้หน่วยงานดูทันสมัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างธรรมาภิบาลในองค์กรภาครัฐ
  3. AI ช่วยลดข้อร้องเรียนและยกระดับการให้บริการ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของ AI ในการเรียนรู้และวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งาน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือการช่วยลดข้อผิดพลาด ลดการสูญเสียเวลาที่ไม่จำเป็น และยังช่วยวิเคราะห์ความเป็นไปในการพัฒนารูปแบบการให้บริการได้

จากเทรนด์และความเป็นไปได้ของการใช้ AI ในการใช้งานในประเทศในเชิงกว้างมากขึ้น คณะวิทย์ มธ. จึงได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการประยุกต์ใช้AI ทั้งเพื่อสร้างโอกาสในเส้นทางอาชีพแนวใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน และลดการสูญเสียเวลาของทุกฝ่าย ที่ครอบคลุม 3 ภาคส่วนทั้งภาคประชาชน ภาคเอกชน และภาครัฐ ดังรายละเอียดต่อไปนี้  

  • แท็คทีม AI ช่วยครีเอทคอนเทนต์ เพราะผู้คนในยุคดิจิทัลสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ในหลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งยังสามารถก้าวสู่การเป็น “ผู้ผลิตคอนเทนต์” หรือ “คอนเทนต์ครีเอเตอร์” (Content Creator) ที่มีคาแรคเตอร์ในการนำเสนอเรื่องราวในแบบเฉพาะตัวที่สร้างรายได้ได้ โดยรายงานจากนิตยสาร Forbes ยังได้เปิดเผยข้อมูลว่า ปี 2021 ตลาดดิจิทัลครีเอเตอร์มีมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ดังนั้น หากนำ AI เข้ามาช่วยเก็บข้อมูลพฤติกรรม ความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในช่วงเวลานั้น ๆ เหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ก็จะสามารถผลิตคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์และตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น หรือก็คือ การนำ AI มาช่วยกำหนดรูปแบบ คอนเทนต์ (Shape Content)
  • ใช้ AI เดินเกมการตลาดแบบแยบยล (AI Marketing) ด้วยฟังก์ชันของเทคโนโลยี AI ที่สามารถรวบรวมทุกข้อมูลบนโลกออนไลน์มาไว้ในที่เดียว ทั้งข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) ที่สามารถปรับเลือกจัดกลุ่มข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายได้จำเพาะมากยิ่งขึ้น เช่น ชื่อประเทศ ประเภทความสนใจ นอกจากนั้นยังสามารถติดตามพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค (Customer Journey) คำที่ถูกใช้ค้นหาสินค้าและบริการมากที่สุด (Trending Searches) ฯลฯ ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญที่นักการตลาดหรือบริษัทเอเจนซี่ (Agency) สามารถนำไปต่อยอดเชิงธุรกิจ หรือปรับแผนการตลาดให้สอดคล้องกับความสนใจของผู้บริโภคได้
  • ดึงมือ AI ช่วยปลดล็อกทุกข้อสงสัย เพราะขั้นตอนการเข้ารับบริการจากหน่วยงานราชการ จะมีความซับซ้อนในด้านข้อมูลหรือจำเป็นต้องจัดเตรียมเอกสารจำนวนมาก ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดข้อผิดพลาดและสูญเสียเวลาในการเข้ารับ-ให้บริการ

ดังนั้น เพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง (Transform) รวมถึงใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในสายโปรแกรมมิ่ง (Programming) อย่าง “โปรแกรมเมอร์” (Programmer) คณะวิทย์ มธ. มองว่ามีความจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจใน 3 ภาษาโปรแกรมด้านไอทีที่สำคัญ ดังนี้ 1. ภาษาซี (C)  2. ภาษาจาวา (Java)   3. ภาษาไพทอน (Python) ซึ่งได้รับความนิยมในปัจจุบันและสามารถพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันหรือ AI โดยผู้ที่มีความรู้ในการทั้งงานทั้ง 3 ภาษานี้ จะช่วยให้มีพื้นฐานความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) เพื่อทำความเข้าใจหลักการหรือทฤษฎีการเขียนโปรแกรมและซอฟต์แวร์ ทั้งนี้ ต้องควบคู่กับการมีความเข้าใจในทฤษฎีการคำนวณ (Theory of Computation) เพื่อช่วยให้การวิเคราะห์หรือสร้างแบบจำลองที่ซับซ้อนได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน “เทคโนโลยีดิจิทัล” ได้รับการพัฒนาให้ล้ำสมัยและก้าวหน้ายิ่งขึ้น ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมได้อย่างชาญฉลาด รวมถึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยสร้างรายได้มหาศาลให้ภาคธุรกิจ แต่หากบุคคลหรือธุรกิจมิสามารถก้าวได้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ อาจจะได้รับความเสี่ยงที่เกิดจากเทคโนโลยีดิจิทัลดิสรัปชั่น (Digital Disruption) ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมาจะพบว่าบริษัทชั้นนำระดับโลกได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) หนึ่งในเทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก หรือ ดีพเทค (Deep Technology) ที่ผ่านกระบวนการรู้จำข้อมูลมหาศาลและฝึกทำซ้ำๆ จน AI สามารถวิเคราะห์หรือประมวลผลสิ่งที่ซับซ้อนได้รวดเร็วและแม่นยำ อย่างการพัฒนา AI ร่วมแข่งขันเกมกระดานหมากล้อม (Go) จนสามารถล้มแชมป์โลกได้ และล่าสุดกับ ChatGPT (Chat Generative Pre-Trained Transformer) เป็นระบบ AI ในรูปแบบแชตบอท ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยตอบคำถามผู้คนบนโลกออนไลน์ ที่สามารถต่อยอดเชิงธุรกิจด้านให้ข้อมูลสินค้าและบริการกับลูกค้าได้

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐอย่าง ‘กรมสรรพากร’ ที่ได้นำร่องใช้ AI เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการภาษีประชาชน ในชื่อว่า ‘แชตบอทน้องอารี ผู้ช่วยอัจฉริยะเรื่องภาษีสรรพากร’ ที่มาพร้อมความสามารถในการสร้างเสียงพูดจากข้อความ การรู้จำเสียงพูด ฯลฯ ที่นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการยกระดับบริการดิจิทัลภาครัฐ ที่เน้นการพึงพาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมิใช่การแทนที่ ‘มนุษย์’ ในหน่วยงานหรือสถานประกอบการ และด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยีดังกล่าว จึงถือเป็นโอกาสของผู้เรียนสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) คณะวิทย์ มธ. อย่าง ‘นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล’ (Data Science) หรือ ‘โปรแกรมเมอร์’ (Programmer) เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาดจำนวนมาก ด้วยการเรียนการสอนที่เราเน้นทั้งพื้นฐานความรู้ด้านคณิตศาสตร์และสถิติเพื่อคำนวณหาความเป็นไปได้ ด้านโปรแกรมที่สามารถเขียนโค้ดเพื่อสร้างระบบประมวลผลข้อมูล ทักษะด้านการค้นหาและรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และประมวลผลเป็นชุดข้อมูลรูปแบบต่างๆ ได้ ทั้งกราฟ แผนภูมิ ตัวอักษร ฯลฯ ตลอดจนทักษะด้านการสื่อสาร หนึ่งในทักษะสำคัญของนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล เพราะในบางบริบทที่ต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น นำเสนอผลงานหรือถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจ

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สนามมวยราชดำเนิน ทุ่ม 100 ล้านหนุนท่องเที่ยวเชิงกีฬา ดัน “มวยไทย” เป็น Soft Power ดึงนักท่องเที่ยว

รีเล็กซ์ โซลูชันส์ เปิดตัว RELEX-GPT เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน

STAY CONNECTED

0แฟนคลับชอบ
440ผู้ติดตามติดตาม
spot_img

Lastest News

MUST READ