พูดได้เลยว่าชื่อหนังสือเตะตามาก ที่น่าสนใจมากขึ้นคือมันคือประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่ประสบกับโรคซึมเศร้า (depression) กับตัวเองเมื่ออายุได้แค่ 24 ปี
ในวัยที่ชีวิตควรจะเต็มไปด้วยความฝันถึงอนาคตอันสดใส Matt Haig ต้องทรมาณกับความกลัวและความวิตกกังวล ถึงขนาดที่กินไม่ได้ ไม่กล้าแม้แต่จะออกไปซื้อของที่ร้านใกล้บ้าน
Matt บันทึกความทรงจำในช่วงอายุ 24 ถึง 32 แบบตรงไปตรงมา มีแทรกอารมณ์ขันแบบกัดๆตามสไตล์คนอังกฤษ
หนังสือแบ่งเป็นบทสั้นๆ ตามหัวข้อที่เขาอยากสื่อออกมา เช่นอาการบอกเหตุที่จะเป็นโรคซึมเศร้าของเขา ช่วงที่เขาเป็นหนักๆ อะไรที่ทำให้เขาลุกขึ้นมา ทางออกของเขา สิ่งที่ควรทำและควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้อาการกำเริบขึ้นมาอีก
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก มีผู้ป่วยจากโรคซึมเศร้าทั่วโลก 280 ล้านคน โดยมีจำนวนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมีคนที่ฆ่าตัวตายเพราะโรคนี้ไปกว่า 700,000 คน โดยมากอยู่ในช่วงอายุ 15-29 ปี
อะไรทำให้ Matt ยังมีชีวิตอยู่
Matt บอกว่าตอนอาการพีคตอนที่ไปทำงานที่เกาะแถวสเปนหลังเรียนจบปริญญาตรี เขาทรมาณมาก ทุกอย่างที่คนปกติกลัว เขากลัวมากกว่าหลายสิบเท่า คนปกติไม่ชอบเสียงดังแต่เขาถึงขั้นทรมาณ ทนไม่ได้ แม้แต่เสียงกลองจากเพลงที่ฟังจากวิทยุ ในหัวเขาเหมือนทอร์นาโด หยุดคิดถึงสิ่งที่กลัวและกังวลไม่ได้ เหมือนสมองทำงานเร็วกว่าปกติ เขาทรมาณจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ แม้จะยังกลัวตายเหมือนคนทั่วไป เขาไม่ได้อยากตายแต่เขาไม่อยากอยู่แล้ว
เขาเล่าถึงวันที่เขาเดินไปหน้าผา และในวินาทีที่เขาจะก้าวเท้ากระโดดลงไป เขาคิดถึงพ่อแม่ และ Andrea แฟนของเขาที่อยู่ด้วยกัน ทำงานคนเดียว และดูแลเขาไปด้วย ในความคิดของเขาคือถ้าเขาตาย เขาจะทำให้คนเหล่านี้เศร้า
เขาเดินกลับมาที่ห้องพัก พวกเขาตัดสินใจบอกพ่อแม่และย้ายกลับมาอังกฤษ Matt ต้องเผชิญกับความกลัวและกังวลในทุกเรื่อง แทบจะออกจากห้องนอนไม่ได้ เขาปวดหัวแต่ไม่ยอมกินยาแก้ปวดเพราะกลัวว่าในหัวมันจะแย่ขึ้นไปอีก
แต่ความทนไม่ได้ทำให้เขากัดฟันลุกขึ้นมา ฝืนมันทีละนิด และให้กำลังใจตัวเองว่าก็ยังไม่ตายนี่ กลัวไปเอง ตอนที่ทำก็ทรมาณแต่มันคือการพิสูจน์ว่าสิ่งที่ทำยังฆ่าเขาไม่ได้ เขาพบว่าถ้าเขาคิดถึงเรื่องที่แย่มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ มันสามารถเป็นแรงขับให้เขาลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างได้ เช่น ตอนที่ Andrea จะพาเขาฉลองวันเกิดที่ปารีส เขากลัวมาก คิดถ้าไปหายใจไม่ออกและตายแต่ที่ยอมไปเพราะกลัวว่าเขาจะกลายเป็นคนบ้า ซึ่งนั่นน่ากลัวกว่าการตายเสียอีก ท้ายสุด เขาพบว่าเขายังหายใจได้ที่ปารีส และได้พบสิ่งใหม่ที่สร้างพลังบวกให้เขา
ด้วยเหตุผลแบบเดียวกัน เขาลุกขึ้นมาวิ่ง เล่นโยคะ อ่านหนังสือที่ทำให้สมองเขาหลุดเข้าไปในเรื่อง เขียนหนังสือ นั่งสมาธิและทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ทำให้เหนื่อยและให้สมองคิดเรื่องอื่นๆได้น้อยลง
Matt เล่าว่าตอนเป็นเด็กเขาขี้กลัวมาก กลัวไปหมด ทุกเย็นวันอาทิตย์เขาจะไม่สบายเพราะไม่อยากไปโรงเรียน พอโตขึ้น เขากินเหล้าและสูบบุหรี่ ปาร์ตี้อย่างหนัก
ตอนเมาพับ มันทำให้เขาช้าลง แต่ทุกอย่างก็กลับมาใหม่และแย่กว่าเดิมเพราะมีอาการเมาค้างแถมมา เขาบอกว่าในช่วง 8 ปี เขาน่าจะกินแอลกอฮอล์ไปแค่ 1 แก้วไวน์ และเขาคิดว่าการที่เขาไม่ใช้อะไรมาช่วยหนี ช่วยให้เขาพินิจพิเคราะห์อาการของเขาได้อย่างถี่ถ้วน และควบคุมอาการได้
อ่านได้แอบเศร้านิดๆ เหมือนเข้าไปอยู่ในความมืด แต่ก็ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่าคนที่เป็นโรคนี้คิดอะไร เหมาะมากกับคนที่มีคนใกล้ชิดซึมเศร้า หรือคิดว่าตัวเองกำลังจะเป็น
*หนังสือได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว
รีวิวเล่มอื่น ๆ
TRUST – ความจริงและเรื่องโกหก [BOOK REVIEW]